มนุษย์หมาป่า (Werewolves)

เนื้อหาใหม่จาก เจ.เค.โรว์ลิ่ง

มนุษย์หมาป่านั้นมีอยู่ทั่วโลก และเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำในสังคมผู้วิเศษซึ่งมักเป็นแหล่งกำเนิดมนุษย์หมาป่า เนื่องจากพ่อมดแม่มดที่เกี่ยวข้องกับการล่าหรือศึกษาสัตว์เหล่านี้มีความเสี่ยงที่จะโดนทำร้ายมากกว่ามักเกิ้ลทั่วไป ในคริสต์ศตวรรษที่สิบเก้า ผู้รอบรู้ด้านมนุษย์หมาป่าชาวอังกฤษศาสตราจารย์มาร์โลว ฟอร์แฟง (Professor Marlowe Forfang) ได้จัดทำงานวิจัยชิ้นแรกซึ่งมีเนื้อหาครอบคลุมเรื่องพฤติกรรมของเหล่ามนุษย์หมาป่า โดยพบว่ามนุษย์หมาป่าเกือบทั้งหมดที่เขาทำการศึกษาและซักถามเป็นผู้วิเศษซึ่งถูกกัด นอกจากนั้นเขายังได้รู้จากมนุษย์หมาป่าด้วยว่ามักเกิ้ล ‘รสชาติ’ ต่างออกไปจากผู้วิเศษและมีแนวโน้มว่าจะเสียชีวิตจากบาดแผล ในขณะที่พ่อมดและแม่มดจะรอดชีวิตจนกลายเป็นมนุษย์หมาป่า

นโยบายของกระทรวงเวทมนตร์เกี่ยวกับมนุษย์หมาป่านั้นเลอะเทอะและไร้ประสิทธิภาพมาโดยตลอด ในปี 1637 มีการร่างและออกระเบียบการควบคุมพฤติกรรมมนุษย์หมาป่า ซึ่งเป็นระเบียบที่มนุษย์หมาป่าควรจะลงนามยินยอมไม่จู่โจมทำร้ายผู้ใดและขังตัวเองไว้อย่างแน่นหนาทุก ๆ เดือน  ทว่าไม่น่าประหลาดใจนักที่ไม่มีใครมาลงนามในระเบียบควบคุมพฤติกรรมนี้ เนื่องจากไม่มีใครเตรียมพร้อมจะเดินดุ่ม ๆ เข้าไปในกระทรวงและยอมรับว่าตนคือมนุษย์หมาป่า นี่เป็นปัญหาเดียวกับที่จะเกิดขึ้นกับหน่วยลงทะเบียนมนุษย์หมาป่าในเวลาต่อมา หน่วยลงทะเบียนมนุษย์หมาป่า ซึ่งมนุษย์หมาป่าทุกคนควรจะเข้าไปแจ้งชื่อและรายละเอียดส่วนตัว ยังคงไม่สมบูรณ์และพึ่งพาไม่ได้อยู่เป็นเวลาหลายปี เพราะผู้ถูกกัดใหม่มากมายพยายามปกปิดความเป็นมนุษย์หมาป่า หลบหลีกจากความอับอายและการถูกเนรเทศอันเลี่ยงไม่ได้ มนุษย์หมาป่านั้นถูกสับเปลี่ยนให้ไปอยู่ระหว่างแผนกสัตว์และแผนกสิ่งมีชีวิตชั้นสูงของกองออกระเบียบและควบคุมสัตว์วิเศษอยู่หลายปี เนื่องจากไม่มีใครตัดสินได้เลยว่าตกลงแล้วควรจะแยกประเภทมนุษย์หมาป่าเป็นสัตว์หรือมนุษย์ จนถึงจุดหนึ่ง หน่วยทะเบียนมนุษย์หมาป่า (Werewolf Registry) และหน่วยจับกุมมนุษย์หมาป่า (Werewolf Capture Unit) ก็ถูกจัดอยู่ในแผนกสัตว์ ในขณะที่สำนักงานบริการช่วยเหลือมนุษย์หมาป่าอยู่ในแผนกสิ่งมีชีวิตชั้นสูง ไม่มีเคยมาใช้บริการแผนกช่วยเหลือมนุษย์หมาป่า ด้วยเหตุผลเดียวกันกับที่ไม่ค่อยมีใครยอมไปลงชื่อกับหน่วยลงทะเบียน มันจึงถูกปิดตัวลงในที่สุด

การเป็นมนุษย์หมาป่านั้น จะต้องถูกกัดโดยมนุษย์หมาป่าในร่างหมาป่าตอนคืนพระจันทร์เต็มดวงเท่านั้น เมื่อน้ำลายของมนุษย์หมาป่าผสมเข้ากับเลือดของเหยื่อ การติดเชื้อจึงจะเกิดขึ้น

หลายตำนานและนิทานปรัมปราของมักเกิ้ลเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่านั้นมักไม่ตรงตามความจริง ถึงแม้บางเรื่องจะมีความจริงเล็ก ๆ น้อย ๆ โผล่ติดเข้ามาบ้าง เช่นกระสุนเงินไม่สามารถฆ่ามนุษย์หมาป่าได้ แต่ส่วนผสมของผงเงินและต้นดิตทานี่ที่ทาลงบนแผลถูกกัดสดจะ ‘ปิด’ บาดแผลและป้องกันเหยื่อไม่ให้เสียชีวิตจากการเสียเลือด (แม้ว่าเรื่องเล่าโศกนาฏกรรมจะชอบเล่าถึงเหยื่อผู้ร้องขอความตายเสียดีกว่าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นมนุษย์หมาป่า)

ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ ยาหลายขนานถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อลดผลกระทบของการเป็นมนุษย์หมาป่า ขนานยาที่ประสบความสำเร็จที่สุดคือน้ำยาวูฟส์เบน

การกลายร่างในแต่ละเดือนของมนุษย์หมาป่านั้นทรมานอย่างยิ่งยวดหากไม่ได้รับการดูแล โดยมักจะมีอาการซีดเซียวและเจ็บไข้ได้ป่วยก่อนหน้าและหลังจากการกลายร่างสองสามวัน ในขณะที่เขาหรือเธออยู่ในร่างหมาป่า มนุษย์หมาป่าจะสูญเสียความรู้ผิดชอบชั่วดีไปสิ้น อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่ถูกต้องที่จะกล่าว [อย่างเช่นที่ผู้รู้หลายท่านได้กล่าวไว้ โดยเฉพาะศาสตราจารย์เอ็มเมอเรตต์ พิคาร์ดี (Professor Emerett Picardy) ในหนังสือชื่อ นรสิงคาลนอกจารีต: เหตุใดมนุษย์หมาป่าจึงไม่สมควรมีชีวิต (Lupine Lawlessness: Why Lycanthropes Don’t Deserve to Live)] ว่าพวกเขาสูญเสียมโนธรรมไปอย่างถาวรแม้ขณะที่เป็นมนุษย์ มนุษย์หมาป่าสามารถเป็นคนดีหรืออ่อนโยนพอกันกับคนอื่น แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะเป็นตัวอันตรายได้แม้ระหว่างเป็นมนุษย์ เช่นในกรณีของเฟนเรีย เกรย์แบ็ก ผู้พยายามจะกัดและทำให้ผู้อื่นพิการเสียจนถึงขนาดที่ไว้เล็บยาวและฝนพวกมันจนกลายเป็นกรงเล็บเพื่อจุดประสงค์นั้นโดยเฉพาะ

หากถูกกัดโดยมนุษย์หมาป่าในร่างมนุษย์ เหยื่ออาจเกิดอาการคล้ายหมาป่าอย่างอ่อน ๆ เช่นนิยมชมชอบกินเนื้อแบบเกือบดิบ แต่ก็ไม่น่าทุกข์ทนกับผลระทบด้านลบในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การกัดหรือข่วนใด ๆ ที่เกิดจากมนุษย์หมาป่าจะทิ้งรอยแผลเป็นถาวรไว้ไม่ว่าเขาหรือเธอจะอยู่ในร่างของหมาป่าหรือไม่ในเวลาที่โจมตี

เมื่ออยู่ในร่างสัตว์ มนุษย์หมาป่านั้นแทบจะไม่ต่างกับหมาป่าจริงเลยในแง่ของรูปลักษณ์ แม้ว่าอาจจะมีจมูกสั้นกว่าเพียงเล็กน้อยและนัยน์ตาเล็กกว่า (ทำให้ดูหน้าตา ‘เป็นมนุษย์’ มากกว่าในทั้งสองกรณี) และหางเป็นกระจุกปอยมากกว่าขนหนาเป็นพุ่ม แต่ความแตกต่างที่แท้จริงคือพฤติกรรม หมาป่าที่แท้จริงจะไม่ก้าวร้าว และเรื่องเล่าขานจำนวนมากที่เล่าถึงหมาป่าว่าเป็นนักล่าอันไร้จิตใจนั้น ทางการผู้วิเศษตอนนี้เชื่อว่าเรื่องเล่าพวกนั้นพูดถึงมนุษย์หมาป่า ไม่ใช่หมาป่าจริง หมาป่าไม่มีแนวโน้มจะทำร้ายมนุษย์เว้นแต่ในสภาวการณ์ที่ผิดธรรมดา และมนุษย์หมาป่ายังมุ่งเป้าจู่โจมมนุษย์แทบจะเพียงอย่างเดียว โดยแทบไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตชนิดอื่น

โดยปกติ มนุษย์หมาป่าจะแพร่พันธุ์โดยการจู่โจมผู้ที่ไม่ใช่มนุษย์หมาป่า รอยด่างพร้อยนี้เป็นเรื่องร้ายแรงมาหลายศตวรรษจนทำให้มีผู้ยอมแต่งงานและมีลูกกับมนุษย์หมาป่าเพียงไม่กี่คน อย่างไรก็ตาม หลังมนุษย์หมาป่าแต่งงานกับคู่ชีวิตมนุษย์แล้ว ยังไม่เคยมีสัญญาณว่าลักษณะความเป็นมนุษย์หมาป่าจะถูกส่งผ่านไปยังลูกหลาน

หนึ่งในความน่าสนใจของการเป็นมนุษย์หมาป่าก็คือ หากมนุษย์หมาป่าสองคนพบและสืบพันธุ์ในคืนพระจันทร์เต็มดวง (ความบังเอิญอันแทบไม่น่าเป็นไปได้ ซึ่งเคยเกิดขึ้นเพียงสองครั้งเท่าที่ทราบ) หน่อเนื้อเชื้อไขของการสืบพันธุ์ครั้งนั้นจะเกิดมาเป็นลูกหมาป่าซึ่งมีลักษณะเหมือนหมาป่าจริง เว้นเพียงความฉลาดผิดธรรมดา พวกเขาไม่ก้าวร้าวมากไปกว่าหมาป่าธรรมดาและไม่มุ่งหมายจะทำร้ายมนุษย์เพียงอย่างเดียว ลูกมนุษย์หมาป่าครอกหนึ่งถูกปล่อยให้ใช้ชีวิตอิสระในป่าต้องห้ามที่ฮอกวอตส์โดยถูกปิดเป็นความลับอย่างยิ่งยวด ด้วยความกรุณาของอัลบัส ดัมเบิลดอร์ ลูกมนุษย์หมาป่าเหล่านั้นเติบโตขึ้นมาเป็นหมาป่าที่งดงามเฉลียวฉลาด และบางตัวยังคงมีชีวิตอยู่ ซึ่งเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเรื่องเล่าลือเกี่ยวกับ ‘มนุษย์หมาป่า’ ในป่าต้องห้าม อันเป็นเรื่องราวที่ไม่มีอาจารย์คนใดหรือผู้รักษากุญแจคนไหนเพียรพยายามจะกำจัดให้หมดไป เพราะในความเห็นของพวกเขา การทำให้นักเรียนอยู่ห่างจากป่าได้นั้นเป็นเรื่องน่าพึงปรารถนาทีเดียว


ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: https://www.pottermore.com/writing-by-jk-rowling/werewolves

แปลและเรียบเรียง: Willow McBeth @Muggle-V.com