ประวัติศาสตร์ของควิดดิชเวิลด์คัพ (History of the Quidditch World Cup)

เนื้อหาใหม่จาก เจ.เค.โรว์ลิ่ง

ตาม คำแนะนำอย่างเป็นทางการของการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพ  ซึ่งได้รับการจัดทำขึ้นโดยคณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติ (ICWQC) สามารถหาได้ทั่วไปตามแผงหนังสือที่มีชื่อเสียงของเหล่าพ่อมดแม่มดทั้งหลาย ซึ่งต่างรู้สึกตรงกันว่ามีราคาสูงอย่างน่าขันถึง 39 เกลเลียน ระบุไว้ว่า การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศถูกกำหนดให้จัดขึ้นทุกๆ 4 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1473 เป็นต้นมา ในฐานะที่ควิดดิชเป็นมากกว่าการแข่งขันกีฬาที่มีความสำคัญที่สุดในโลกของผู้วิเศษ จึงมีข้อสงสัยมากมายเกี่ยวกับความเที่ยงตรงของถ้อยแถลงนี้

ในขณะที่มีเพียงทีมในทวีปยุโรปเท่านั้นที่มีการแข่งขันในระหว่างศตวรรษที่ 15 และ 16 บรรดาผู้เคร่งครัดทั้งหลายต่างเสนอช่วงเวลาของการเริ่มต้นการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพ ให้นับจากศตวรรษที่ 17 เป็นต้นไป เมื่อกีฬาชนิดนี้ได้เปิดตัวออกสู่ทั่วทุกทวีป นอกจากนี้ยังมีการโต้เถียงที่ดุเดือดเกี่ยวกับความเที่ยงตรงของบันทึกทางประวัติศาสตร์บางส่วนของการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ การวิเคราะห์หลังจบเกมการแข่งขันจำนวนมาก มีเนื้อหาสาระสำคัญไปที่การแทรกแทรงด้วยเวทมนตร์*ให้เกิดผลตามต้องการ ไม่ว่าจะทำหรือสมควรทำ ผลสรุปสุดท้ายก็ยังเป็นที่โต้เถียงอยู่

คณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติ มีภาระหน้าที่ที่โชคร้ายในการควบคุมการแข่งขันที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งและสับสนวุ่นวาย หนังสือกฎกติกาที่เกี่ยวข้องกับพิธีเปิดและปิดสนามแห่งเวทมนตร์ ถูกอ้างถึงเพื่อขยายความออกไปถึงเล่มที่ 19 และรวมถึงกฎมากมาย อย่าง ‘ห้ามนำมังกรเข้ามาในสนาม ไม่ว่าจะเพื่อวัตถุประสงค์ใดๆ ก็ตาม แต่ไม่จำกัดในกรณีที่ใช้เป็นมาสคอตประจำทีม, ผู้ฝึกสอน หรือใช้เป็นตัวอุ่นถ้วย’ และ ‘การปรับปรุงแก้ไขส่วนต่างๆ ของร่างกายกรรมการ ไม่ว่าเขาหรือเธอจะร้องขอให้มีการปรับปรุงแก้ไขนั้นหรือไม่ก็ตาม จะทำให้ถูกห้ามเล่นไปตลอดฤดูกาลแข่งขัน และอาจถูกจำคุกร่วมด้วย’

เนื่องจากความเสี่ยงต่อสวัสดิภาพของทุกๆ คนที่เข้าร่วม รวมทั้งการถูกเพ่งเล็งอยู่เสมอสำหรับสถานการณ์ความไม่สงบและการประท้วงคัดค้าน จึงทำให้การแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพเป็นทั้งการแข่งขันกีฬาที่ทำให้คนทั่วโลกมีความสุข และในขณะเดียวกันก็เป็นฝันร้ายในการบริหารจัดการของประเทศเจ้าภาพอีกด้วย

บทบัญญัติการรักษาความลับ

ช่วงเวลาสำคัญของการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพ คือการทำให้บทบัญญัติการรักษาความลับนานาชาติในปี ค.ศ.1692 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อปกปิดการดำรงอยู่ของพ่อมดแม่มดและเวทมนตร์ สหพันธ์พ่อมดนานาชาติเล็งเห็นว่าการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพเป็นความเสี่ยงต่อความปลอดภัยอย่างสูงสุด เนื่องมาจากการเคลื่อนย้ายของคนกลุ่มใหญ่ รวมทั้งการชุมนุมของสมาชิกในชุมชนผู้วิเศษนานาชาติจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ด้วยปริมาณการประท้วงและการขู่คุกคามต่อสหพันธ์พ่อมดนานาชาติ ทำให้มีข้อตกลงที่เห็นพ้องต้องกันว่า การแข่งขันสามารถดำเนินต่อไปได้ รวมถึงการควบคุมกลุ่มคน โดยคณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติ ซึ่งจัดตั้งขึ้นเพื่อกำหนดสถานที่นัดพบที่เหมาะสม ปกติมักจะเป็นทุ่งร้างที่อยู่ห่างไกล, ทะเลทราย และเกาะต่างๆ ที่รกร้างว่างเปล่า พร้อมทั้งจัดระเบียบการขนส่งผู้เข้าชมจำนวนมาก (โดยปกติจะมีผู้เข้าชมการแข่งขันในนัดสุดท้ายประมาณหนึ่งแสนคน) และควบคุมดูแลให้เกมอยู่ในระเบียบ อันเป็นภารกิจที่เห็นพ้องต้องกันว่าต้องกระทำท่ามกลางผู้คนทั้งหมดที่ไม่สำนึกรู้คุณและเห็นถึงความยากลำบากในโลกของผู้วิเศษ

 

การจัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศทำกันอย่างไร

ประเทศที่ส่งทีมควิดดิชเข้าร่วมแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพในแต่ละฤดูกาลมีจำนวนไม่คงที่ ประเทศที่มีจำนวนประชากรผู้วิเศษน้อยก่อให้เกิดความยากลำบากในการสร้างทีมให้ได้ตามมาตรฐาน แต่ปัจจัยอื่นๆ เช่น ข้อขัดแย้งระหว่างประเทศ หรือภัยพิบัติ อาจมีผลต่อสมาชิกผู้เข้าร่วมแข่งขัน อย่างไรก็ตาม ประเทศต่างๆ อาจจะเข้าร่วมทีมภายใน 12 เดือนให้หลังจากการแข่งขันนัดสุดท้ายก็ได้

ทีมต่างๆ จะถูกแบ่งออกเป็นกลุ่ม ทั้งหมดไม่เกิน 16 กลุ่ม ซึ่งทุกๆ ทีมในกลุ่มจะเล่นแบบพบกันหมดภายในระยะเวลา 2 ปี จนกระทั่งเหลือ 16 ทีมสุดท้าย (ทีมที่เป็นผู้ชนะของแต่ละกลุ่ม) โดยระหว่างช่วงของการแข่งขันในแต่ละกลุ่ม จะกำหนดระยะเวลาของการเล่นไว้ที่ 4 ชั่วโมง เพื่อป้องกันความเหน็ดเหนื่อยของผู้เล่น ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าในระหว่างเกมการแข่งขัน จะมีบางกลุ่มที่ไม่สามารถจับลูกสนิชได้ แต่จะตัดสินกันด้วยการทำแต้มเพียงอย่างเดียว ผู้ชนะของการแข่งขันในแต่ละกลุ่มจะได้รับ 2 คะแนน ผู้ชนะที่มีแต้มมากกว่า 150 คะแนน จะได้รับแต้มเพิ่มอีก 5 คะแนน, ทีมที่ได้ 100 คะแนน จะได้รับแต้มเพิ่มอีก 3 คะแนน และทีมที่ได้ 50 คะแนน จะได้รับแต้มเพิ่มอีก 1 คะแนน ในกรณีที่มีแต้มเสมอกัน ผู้ชนะก็คือทีมที่จับลูกสนิชได้บ่อยที่สุดหรือเร็วที่สุดในระหว่างการแข่งขัน

ทีมที่เหลือ 16 ทีมสุดท้ายจะถูกจัดลำดับตามคะแนนที่ชนะจากการแข่งขันในแต่ละกลุ่ม โดยทีมที่มีคะแนนสูงที่สุดจะเล่นกับทีมที่มีคะแนนต่ำที่สุด ทีมที่มีคะแนนสูงลำดับที่สองจะเล่นกับทีมที่มีคะแนนต่ำลำดับที่สอง ทำแบบนี้เรื่อยๆ ไป จนกระทั่งเหลือทีมที่ดีที่สุด 2 ทีมมาแข่งขันกันในรอบสุดท้าย ส่วนกรรมการผู้ตัดสินจะถูกคัดเลือกโดยคณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติ

การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศอันเสื่อมเสียชื่อเสียง

ไม่มีการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพครั้งใดที่ปราศจากความขัดแย้งอย่างรุนแรง แต่มีบางครั้งที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ตัวอย่างที่เสื่อมเสียชื่อเสียงได้ถูกรวบรวมไว้ดังนี้:

การโจมตีของป่าเพชฌฆาต

จุดสุดยอดที่น่าสยดสยองในรอบสุดท้ายของการแข่งขันระหว่างโรมาเนียและสเปนใหม่ (ซึ่งรู้จักกันในนามของเม็กซิโก) ในปี ค.ศ.1809 เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์ของผู้วิเศษว่าเป็นการระเบิดอารมณ์ที่เลวร้ายที่สุดของผู้เล่นรายหนึ่ง เพื่อนร่วมทีมหลายคนของนิโก้ นีนาด (Niko Nenad) เริ่มกังวลเกี่ยวกับความเดือดดาลอย่างดุร้ายของเขาในระหว่างช่วงสิบห้านาทีแรกจนถึงครึ่งหลังของการแข่งขัน ซึ่งพวกเขาพยายามเกลี้ยกล่อมให้ผู้จัดการทีมเปลี่ยนตัวนีนาดในช่วงสุดท้าย แต่คำแนะนำนั้นถูกเพิกเฉยอย่างน่าเศร้าจากพ่อมดแก่ผู้มีความปรารถนาในความสำเร็จอย่างแรงกล้า

หลังจบเกม ไอวาน โพพา (Ivan Popa) เพื่อนร่วมทีมของนีนาด (ซึ่งเป็นผู้ได้รับเหรียญตราพ่อมดนานาชาติสำหรับผู้ประกอบคุณความดี จากการที่เขาได้ช่วยชีวิตผู้คนในช่วงเกิดภัยพิบัติ) บอกกับคณะกรรมการสืบสวนนานาชาติว่า“หลายสัปดาห์ก่อนหน้านี้ พวกเราเห็นนิโก้ตีหัวตัวเองด้วยไม้กวาด และจุดไฟเผาเท้าตัวเองจากความผิดหวัง ผมหยุดเขาไม่ให้บีบคอกรรมการ 2 คน แต่ถึงอย่างนั้น ผมก็ไม่สงสัยเลยว่าเขาวางแผนจะทำอะไรหากการแข่งขันในรอบสุดท้ายไม่เข้าทางของพวกเรา ผมหมายความว่าใครจะไปสงสัยล่ะ นอกจากคุณจะบ้าเหมือนเขา”

และแน่นอน กว่าจะรู้ว่าเขาจัดการสาปป่าทั้งหมดที่อยู่ตรงชายแดนของที่ราบไซบีเรียนตะวันตกให้กลายเป็นอะไร ก็ถึงเวลาที่เปิดให้เข้าชมการแข่งขันแล้ว ถึงแม้ว่าใครๆ จะคิดว่าเขาทำได้สำเร็จท่ามกลางแฟนๆ ที่ไร้หลักการ และต่อมาก็แสดงให้เห็นว่าทำให้เกิดผลลัพธ์พอๆ กับคำสาปของพ่อมดศาสตร์มืดในตำนานพื้นบ้าน โดยหลังจากการแข่งขันดำเนินไปได้ 2 ชั่วโมง ทีมโรมาเนียก็มีแต้มตามหลังและมีท่าทีเหน็ดเหนื่อย แล้วทันใดนั้นนีนาดก็ตั้งใจตีลูกบลัดเจอร์ให้ออกจากสนามแข่งขันไปยังบริเวณป่าซึ่งอยู่ห่างออกไป จากนั้นผลลัพธ์ที่อันตรายยิ่งก็ปรากฏขึ้นทันที เหล่าต้นไม้ในป่าต่างก็กระโดดเด้งมีชีวิตขึ้นมา พร้อมกับบิดรากขึ้นมาจากใต้ดิน และเดินเรียงแถวเข้าสู่สนาม ทลายราบทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า เป็นเหตุให้มีผู้บาดเจ็บมากมายและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก จากนั้นเกมการแข่งขันควิดดิชก็กลายเป็นการต่อสู้ระหว่างคนกับต้นไม้แทน ซึ่งเหล่าพ่อมดแม่มดก็เป็นผู้ชนะหลังจากการต่อสู้อันหนักหน่วงผ่านไป 7 ชั่วโมง ส่วนนีนาดนั้นไม่ถูกดำเนินคดีเพราะว่าเขาถูกต้นสนพันธุ์สพรูส ซึ่งมีความรุนแรงเป็นพิเศษฆ่าตายเสียก่อน

การแข่งขันนัดชิงชนะเลิศที่ไม่มีใครจำได้เลย

คณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติยืนยันว่าการแข่งขันถูกกำหนดให้จัดขึ้นทุก 4 ปีมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1473 และนี่คือจุดกำเนิดของความภาคภูมิใจ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าไม่มีสิ่งใดสามารถหยุดยั้งเหล่าพ่อมดแม่มดไม่ให้เล่นควิดดิชได้ ไม่ว่าจะเป็นสงคราม สภาพอากาศที่เลวร้าย หรือการรบกวนจากมักเกิ้ล อย่างไรก็ตามก็ยังมีเหตุการณ์มหัศจรรย์ในการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศครั้งหนึ่ง ซึ่งจัดขึ้นในปี ค.ศ.1877 การแข่งขันนี้ถูกเตรียมการไว้ก่อนอย่างแน่นอน ทั้งสถานที่แข่งขันที่ได้คัดเลือกไว้ (ทะเลทรายไรน์ในคาซัคสถาน) สื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์ที่จัดทำขึ้น รวมทั้งการจำหน่ายตั๋วเข้าชมการแข่งขัน

แต่ทว่าในเดือนสิงหาคม โลกของผู้วิเศษก็ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาพบความจริงที่ว่าพวกเขาไม่หลงเหลือความทรงจำแม้แต่น้อยเกี่ยวกับการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศที่กำลังจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นบรรดาผู้ชมที่ซื้อตั๋วไว้ล่วงหน้าหรือผู้เล่นทั้งหลาย ก็ไม่มีใครจดจำเกมนี้ได้ อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่มีใครเข้าใจถึงเหตุผลที่เกิดขึ้น แต่ฟันเกือบทั้งปากของลูคาส บาร์จวอร์ที (Lucas Bargeworthy) บีตเตอร์ชาวอังกฤษก็หายไป เข่าทั้งสองข้างของแอนเจลลัส พีล (Angelus Peel) ซีกเกอร์ชาวแคนาดาก็หมุนกลับหลัง และสมาชิกครึ่งหนึ่งของทีมอาร์เจนติน่าก็ถูกมัดไว้ในห้องใต้ดินของผับในเมืองคาร์ดิฟฟ์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าสิ่งที่เกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นระหว่างการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศครั้งนี้ไม่ได้รับการพิสูจน์ที่น่าพึงพอใจ ทฤษฎีต่างๆ ถูกหยิบยกขึ้นมา ตั้งแต่คาถาลบล้างความทรงจำที่เกิดอย่างถาวรจากฝีมือของผู้นำการปลดปล่อยก๊อบลิน (ซึ่งในขณะนั้นกำลังมีการเคลื่อนไหวอย่างมาก และดึงดูดความสนใจของเหล่าผู้วิเศษที่ไม่ซื่อสัตย์ซึ่งต้องการล้มกฎหมายและการปกครอง) หรือการระบาดของเชื้อ Cerebrumous Spattergroit ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของเชื้อ Spattergroit ที่พบได้ทั่วไป ซึ่งทำให้เกิดความสับสนอย่างรุนแรงและความจำเสื่อมในที่สุด แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ต่างก็เชื่อว่าสมควรที่จะจัดการแข่งขันนัดชิงชนะเลิศขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1878 และกำหนดให้จัดขึ้นทุกๆ 4 ปีนับจากนั้นมา และนี่ก็เป็นสาเหตุของความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ในลำดับการแข่งขันที่จัดขึ้นทุก 4 ปี นับตั้งแต่ปี ค.ศ.1473 เป็นต้นมา

รอยส์ตัน ไอเดิลไวนด์ กับเครื่องอำพราง (Dissimulator)

ในปี ค.ศ.1971 คณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติได้แต่งตั้งผู้บริหารนานาชาติคนใหม่ คือ พ่อมดชาวออสเตรเลีย ชื่อ รอยส์ตัน ไอเดิลไวนด์ (Royston Idlewind) อดีตผู้เล่นจากทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศระดับประเทศในปี ค.ศ.1966 ถึงกระนั้นเขาก็เป็นตัวเลือกสำหรับผู้บริหารนานาชาติที่ทำให้เกิดความขัดแย้ง เนื่องจากทัศนคติเกี่ยวกับนโยบายที่ไม่ผ่อนปรนในการควบคุมฝูงชน -ท่าทีที่แน่นอนว่าได้รับอิทธิพลมาจากคำแช่งต่างๆ ที่เขาต้องอดทนอดกลั้นไว้ในตอนที่เป็นเชสเซอร์ดาวรุ่งของออสเตรเลีย

แถลงการณ์ของไอเดิลไวนด์แสดงให้เห็นว่าเขาคำนึงถึงฝูงชนในแง่ที่เป็น ‘สิ่งเดียวที่ผมไม่ชอบเกี่ยวกับควิดดิช’ นั่นทำให้เขาไม่เป็นที่รักใคร่ของแฟนๆ เท่าไหร่ ความรู้สึกของพวกเขากลายมาเป็นปรปักษ์อย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาดำเนินเรื่องเสนอให้ใช้กฎกติกาหลายข้อที่เข้มงวด ซึ่งที่ร้ายที่สุด คือ การห้ามใช้ไม้กายสิทธิ์ทุกอันจากอัฒจันทร์ ยกเว้นไม้กายสิทธิ์ที่เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติเป็นผู้ถือเท่านั้น ในการประท้วงมีแฟนๆ จำนวนมากขู่ว่าจะต่อต้านการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพในปี ค.ศ.1974 แต่เมื่อที่นั่งเชียร์กีฬาอันว่างเปล่าคือความปรารถนาอย่างลับๆ ของไอเดิลไวนด์ กลยุทธ์ของบรรดาแฟนๆ จึงไม่เคยมีโอกาสได้ทำ

การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศเริ่มต้นขึ้นตามกำหนด และขณะเดียวกันการชุมนุมของฝูงชนก็ลดจำนวนลง การปรากฏตัวของ ‘เครื่องอำพราง’ ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีที่ปรับปรุงขึ้นตามสไตล์ใหม่ ก็ทำให้ทุกเกมการแข่งขันสนุกสนานร่าเริง เครื่องเล่นนี้มีลักษณะคล้ายท่อหลากสีที่ปล่อยเสียงร้องดังๆ ออกมาเชียร์ และพ่นควันออกมาตามสีประจำชาติของแต่ละประเทศ ในขณะที่การแข่งขันดำเนินไป ความนิยมในเครื่องอำพรางก็เพิ่มมากขึ้นเหมือนจำนวนของฝูงชน และเมื่อการแข่งขันรอบสุดท้ายระหว่างซีเรียกับมาดากัสการ์มาถึง ที่นั่งเชียร์กีฬาก็อัดแน่นไปด้วยพ่อมดแม่มดจำนวนมาก ซึ่งแต่ละคนต่างก็นำเครื่องอำพรางของตัวเองออกมา

เมื่อรอยส์ตัน ไอเดิลไวนด์ปรากฏตัวขึ้นบนชั้นบ็อกซ์สำหรับแขกผู้มีเกียรติและเจ้าหน้าที่ระดับสูง เครื่องอำพรางจำนวนหนึ่งแสนอันก็ปล่อยเสียงเยาะเย้ยดังลั่น แล้วทันใดนั้นก็เครื่องอำพรางก็แปรเปลี่ยนเป็นไม้กายสิทธิ์ที่พวกเขาแอบเอาเข้ามา การถูกแกล้งให้อับอายขายหน้าโดยฝูงชนที่ดูหมิ่นกฎหมายข้อโปรดของเขา ทำให้รอยส์ตัน ไอเดิลไวนด์ลาออกจากตำแหน่งทันที แม้กระทั่งผู้สนับสนุนของทีมมาดากัสการ์ ซึ่งพ่ายแพ้ในเกมการแข่งขัน ก็ยังมีเรื่องให้ฉลองระหว่างการพักผ่อนอันยาวนานในค่ำคืนที่มีแต่เสียงดังเอะอะ

ตรามารปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เกมการแข่งขันระหว่างไอร์แลนด์กับบัลแกเรีย ซึ่งจัดขึ้นที่ดาร์ตมัวร์ ประเทศอังกฤษ อาจจะเป็นการแข่งขันควิดดิชเวิลด์คัพรอบชิงชนะเลิศที่เสื่อมเสียชื่อเสียงที่สุดในรอบ 2-3 ศตวรรษที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้

ระหว่างการเฉลิมฉลองชัยชนะของไอร์แลนด์ในเกมสุดท้าย ได้เกิดการจลาจลจากเหตุการณ์รุนแรงที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งเกิดจากเหล่าผู้สนับสนุนลอร์ดโวลเดอมอร์ ได้ทำร้ายบรรดาพ่อมดแม่มดด้วยกัน และจับกุมรวมถึงทรมานมักเกิ้ลที่อยู่บริเวณนั้น นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 14 ปีที่ตรามารปรากฏขึ้นบนท้องฟ้า ซึ่งเป็นสาเหตุของความหวาดกลัวที่แผ่ขยายออกไปทั่ว และเป็นผลให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บท่ามกลางฝูงชนอย่างมากมาย

คณะกรรมการกีฬาควิดดิชแห่งสหพันธ์พ่อมดนานาชาติตำหนิกระทรวงเวทมนตร์อย่างหนักหลังเหตุการณ์นี้ รวมทั้งตัดสินว่าการบริหารจัดการด้านความปลอดภัยยังไม่เพียงพอ ที่ยังให้มีการคงอยู่ของพวกมีแนวโน้มนิยมเลือดบริสุทธิ์หัวรุนแรงในสหราชอาณาจักร รอยส์ตัน ไอเดิลไวนด์ ปรากฏตัวอีกครั้งหลังจากเก็บตัวเงียบในช่วงเกษียณอายุ เพื่อให้สัมภาษณ์สั้นๆ กับหนังสือพิมพ์เดลี่พรอเฟ็ต ว่า “ตอนนี้การห้ามใช้ไม้กายสิทธิ์ยังดูงี่เง่าอยู่อีกรึเปล่านะ?”

 


*การแทรกแทรงด้วยเวทมนตร์ หมายถึงการใช้เวทมนตร์เพื่อให้เกิดผลตามต้องการ เช่น การดื่มน้ำยานำโชค, การควบคุมสภาพดินฟ้าอากาศ, การย่อขยายขนาดห่วง


ต้นฉบับภาษาอังกฤษ: https://www.pottermore.com/writing-by-jk-rowling/history-of-the-quidditch-world-cup