เกี่ยวกับการสร้างภาพยนตร์ “แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับเครื่องรางยมทูต ภาค 1” : จุดจบกำลังจะเริ่มต้น

จุดจบกำลังจะเริ่มต้น

                จากช่วงเวลาที่เขาได้นำผู้คนทั่วโลกเข้าสู่การผจญภัยอันน่าตื่นเต้นของแฮร์รี่ พอตเตอร์, พ่อมดน้อยที่เป็นผู้เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ทางหนังสือและภาพยนตร์ เป็นเวลากว่าชั่วทศวรรษที่เดวิด เฮย์แมนได้ขลุกอยู่ในโลกแห่งเวทมนตร์ ในฐานะของผู้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ทุกตอนที่สร้างขึ้นจากหนังสือขายดีที่สุดของ เจ.เค.โรว์ลิ่ง ซึ่งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการสร้างในภาพยนตร์ที่มีการดัดแปลงมาจากหนังสือเล่มที่ 7 และเป็นตอนสุดท้ายที่มีชื่อว่า “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต”

แต่เมื่อเฮย์แมนยิ่งเข้าใกล้ตอนสุดท้ายของภาพยนตร์แฟรนไชส์ที่ทำลายสถิติมากมาย เขาพบว่ามันมีการเสนอความท้าทายในรูปแบบพิเศษ ไม่น้อยไปกว่าสิ่งที่เป็นวิธีการรวมเรื่องราวของนวนิยายชุดที่เนื้อเรื่องมีการถักทอประสานกันทั้งหมด อย่างที่เขาเร่งความเร็วเพื่อก้าวเข้าสู่บทสรุปที่สำคัญ

                มีการแหวกแนวจากประเพณีของภาพยนตร์ที่เป็นภาคต่อ โดยตัดสินใจว่าจะแบ่งภาพยนตร์เรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต” ให้มีความยาวเป็น 2 ตอน “เมื่อ สตีฟ โคลฟส์ เริ่มเขียนบทภาพยนตร์ มันเห็นได้ชัดว่าเราต้องตัดทอนหลายอย่างออกไป เพื่อเป็นการเคารพต่อความถูกต้องของหนังสือของโจในภาพยนตร์เรื่องเดียว” เฮย์แมน อธิบายว่า “แน่นอนว่ามันมีรายละเอียดหลายอย่างที่เป็นองค์ประกอบสำคัญต่อการแก้ปัญหาของภาคต่างๆ”

                ผู้อำนวยการสร้าง เดวิด บาร์รอน กล่าวเสริมว่า “ในหนังสือเล่มก่อนๆ การตัดสินใจจะเป็นไปตามการเดินทางของแฮร์รี่เสมอ มันเลยสามารถหาฉากที่มีความแน่นอนเฉพาะจุดได้ ขณะอ่านหนังสือก็มีความเพลิดเพลินสนุกสนานอย่างยิ่งใหญ่ ไม่จำเป็นต้องขยายเรื่องราวของเขาเลย แต่อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มที่ 7 เกี่ยวกับการแก้ปัญหา—การเน้นประเด็นตรงนี้ หรือข้ามประเด็นตรงโน้นไป”

                แดเนียล แรดคลิฟฟ์ ที่รับบทแสดงนำเป็น แฮร์รี่ พอตเตอร์ กล่าวเสนอว่า “ความซับซ้อนของโครงเรื่องที่โจได้วางแผนเอาไว้จากจุดเริ่มต้นเป็นความสามารถในการบอกเล่าเรื่องราวอันน่ามหัศจรรย์ มันมีความซับซ้อนและจุดพลิกผัน, ความลึกลับและโรแมนติก, คอมเมดี้และแอคชั่น…ความงดงามทุกอย่างที่ผู้คนมีการตอบรับมาเป็นเวลากว่าหลายปี มันเป็นวิธีเดียวที่เราสามารถบอกเล่าเรื่องราวในแบบที่สมบูรณ์และเป็นไปได้ดั่งตั้งใจ”

                เดวิด เยทส์ เป็นผู้ควบคุมภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์เป็นครั้งที่ 3 เขากล่าวว่าในภาคที่ 1 ของเรื่อง “แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเครื่องรางยมทูต” ได้แหวกประเพณีด้วยการจับตัวละครต่างๆ ที่เป็นใจกลางสำคัญของเรื่องออกไปจากสภาพแวดล้อมที่เคยชินของฮอกวอตส์ จริงๆ แล้วมันเป็นภาคแรกของแฟรนไชส์ที่ไม่มีสัญลักษณ์โรงเรียนแห่งเวทมนตร์คาถาและการใช้เวทมนตร์คาถาอันเป็นที่จดจำให้เห็น  “ผมว่านั่นเป็นสิ่งที่ทำให้น่าสนใจในภาค 1” ผู้กำกับกล่าวว่า “เราออกห่างจากสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวกับเวทมนตร์ของฮอกวอตส์ ซึ่งรู้สึกปลอดภัยมากแม้ในขณะที่ตัวละครต่างๆ จะตกอยู่ในการเสี่ยงภัยทั้งหมดก็ตาม ทันทีที่แฮร์รี่,รอนและเฮอร์ไมโอนี่กำลังพยายามเอาชีวิตรอดจากโลกที่โหดร้ายอันยิ่งใหญ่ และเป็นสถานที่อันตราย พวกเขารู้สึกโดดเดี่ยว อ้างว้าง และอ่อนแอมาก มันทำให้การผจญภัยดูน่าลุ้นและดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจสำหรับผมมาก รวมไปถึงแดน, รูเพิร์ทและเอ็มม่าด้วย”

                แรดคลิฟฟ์ ยืนยันว่า “ผมว่ามันทำให้ภาพยนตร์มีท่วงทำนองที่ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น เพราะมันยากขึ้นที่จะได้เราในคราบของเด็กนักเรียนมมแล้แล้หแล้ว ในเมื่อเราไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนสักเท่าไหร่”

                ในการกลับมารับบทบาทของ รอน วีสลีย์, รูเพิร์ท กรินท์ ให้ความเห็นว่า “การออกห่างจากความปลอดภัยแห่งฮอกวอตส์และการคุ้มครองจากพ่อแม่และครูอาจารย์ของพวกเขา อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ พวกเขาอาจถูกโจมตีได้ทุกขณะ ซึ่งทำให้ภาพยนตร์มีชีวิตชีวาที่ต่างออกไป”

                “แฮร์รี่, เฮอร์ไมโอนี่ และ รอน ไม่มีบ้านอีกต่อไปแล้ว” เอ็มม่า วัตสัน ผู้กลับมารับบทของ เฮอร์ไมโอนี่ เกรนเจอร์ กล่าวว่า  “พวกเขามีการเคลื่อนที่ตลอดเวลา และที่เลวร้ายคือพวกเขากำลังถูกไล่ล่า พวกเขาไม่รู้ว่าจะไว้ใจใครได้ แต่ด้วยการเดิมพันที่มีความสูง พวกเขาจึงต้องมีความกล้า”

                ในความจริงแล้ว สิ่งเดิมพันต่างๆ ไม่ได้สูงขึ้นเหมือนชะตากรรมของโลกแห่งพ่อมดและโลกแห่งมักเกิ้ลที่อยู่ภายในมือน้อยๆ ของพวกเขาเลย การได้ล่วงรู้ความลับแห่งพลังอำนาจและความเป็นอมตะของโวลเดอมอร์ แฮร์รี่อยู่ในภารกิจของการตามรอยฮอร์ครักซ์: วัตถุที่เจ้าแห่งศาสตร์มืดได้มีชิ้นส่วนของวิญญาณของเขาซ่อนเอาไว้ หากเพียงหนึ่งส่วนยังเหลืออยู่ โวลเดอมอร์จะไม่มีวันพ่ายแพ้ ฮอร์ครักซ์สองชิ้นถูกทำลายไปแล้ว —สมุดบันทึกของทอม ริดเดิ้ลและแหวนที่ตกเป็นของมาร์โวโล ก๊อนท์, คุณตาของริดเดิ้ล แฮร์รี่และดัมเบิลดอร์เชื่อว่า พวกเขาได้ค้นพบฮอร์ครักซ์ชิ้นที่สาม, ล็อกเกตของซัลลาซาร์ สลิธีริน แต่มันกลับเป็นของปลอม และของจริงถูกขโมยโดยใครบางคนที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยอักษร ร...

                และที่เหลือ…?  ปัญหาคือฮอร์ครักซ์สามารถอยู่ที่ไหนหรือในอะไรก็ได้ “ผมไม่คิดว่าแฮร์รี่จะเข้าใจว่า เมื่อเขาออกค้นหามันไม่ได้เป็นเรื่องเล็กๆ เลย” บาร์รอน กล่าวว่า “เขาแค่รู้ว่าเขามีงานที่ต้องทำ และเขาต้องเดินหน้าไปกับมัน ส่วนรอนกับเฮอร์ไมโอนี่จะไม่มีวันทอดทิ้งเขา มันเลยกลายเป็นการเดินทางอันยิ่งใหญ่สำหรับสามคน, ทั้งร่างกายและอารมณ์”

การแกะรอยฮอร์ครักซ์ยังเป็นชนวนสำคัญอันไม่คาดฝันสำหรับแฮร์รี่ เมื่อมันเปิดโปงความจริงอันเจ็บปวดบางอย่างเกี่ยวกับอดีตของดัมเบิลดอร์  การเปิดโปงที่ทั้งอาจารย์และครูผู้เป็นที่รักของเขา มีการรู้จักกับโวลเดอมอร์เป็นอย่างดีกว่าที่แฮร์รี่จะคาดคิดได้ ทำให้พ่อมดหนุ่มเริ่มตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับความศรัทธาของเขาในชายที่เขาให้ความเคารพนับถืออย่างมาก

 “ยิ่งแฮร์รี่ได้พบเรื่องเกี่ยวกับดัมเบิลดอร์ที่เขาไม่เคยรู้ หรือที่เขารู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ถูกเก็บซ่อนเอาไว้จากเขา ความไว้เนื้อเชื่อใจของเขาก็ยิ่งถูกกัดกร่อนไป” แรดคลิฟฟ์ กล่าว 

 “มันกลายเป็นวิกฤตแห่งศรัทธาสำหรับแฮร์รี่” เยทส์ ยืนยันว่า “สิ่งที่ทำให้มันยุ่งยากมากขึ้นเป็นสองเท่าสำหรับเขาคือ การที่ดัมเบิลดอร์มอบภารกิจนี้ให้เขาโดยไม่มีแผนการที่ชัดเจน—หรือไอเดียใดๆ ทั้งสิ้น—ว่าจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร ซึ่งทำให้เพื่อนๆ ของเขาต้องตกอยู่ในภัยอันตราย มันก่อให้เกิดการทดสอบเกี่ยวกับมิตรภาพของพวกเขาอย่างแท้จริง ซึ่งเป็นองค์ประกอบของเรื่องราวอีกอย่างที่น่าสนใจ”

                “ผมเชื่อมาโดยตลอดว่า, เวทมนตร์ แอคชั่น และการผจญภัยทั้งหมดของเรื่อง แฮร์รี่ พอตเตอร์ ใจความสำคัญของเรื่องมันเกี่ยวกับตัวละครเหล่านี้” เฮย์แมน กล่าวย้ำว่า “ในภาพยนตร์ภาคนี้ มิตรภาพของพวกเขามีความซับซ้อนขึ้นมากกว่าเดิม และเป็นการค้นหาพวกเขาลึกขึ้น ทั้งแดน, รูเพิร์ท และ เอ็มม่าได้ดีขึ้นกว่าแต่เดิม”

                เยทส์เห็นด้วย, โดยกล่าวเสริมว่าแรดคลิฟฟ์, กรินท์และวัตสันรู้สึกถึงอารมณ์ที่เด่นชัดของภาระหน้าที่ซึ่งอยู่เบื้องหน้าตัวละครที่พวกเขาต้องเข้าไปอยู่ในนั้นเป็นเวลานานเกือบครึ่งชีวิต “พวกเขารู้ได้จากสัญชาตญาณถึงวิธีที่ตัวละครของพวกเขาจะตอบรับกับบางสิ่ง ค่อนข้างดีมากกว่าที่เราเคยทำมา นั่นแหละคือสิ่งที่ผมรักในตัวพวกเขา ในฐานะผู้กำกับ มันเป็นเรื่องมหัศจรรย์ที่ได้ทำงานร่วมกับพวกเขา เพราะมันมีช่วงเวลาที่ผมไม่ได้แค่คุยกับนักแสดงเท่านั้น; ผมได้คุยกับตัวละครจริงๆ ด้วย”


Source: Warner Bros.