565

แกะตัวอย่างที่สองของ Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald (Update 25-7-2018)

ในที่สุดตัวอย่างทางการที่สองของ สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ (Fantastic Beasts: The Crimes of Grindelwald) ก็ปล่อยออกมาเมื่อเวลา 01:00 น. ของวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา (ตามเวลาประเทศไทย) ซึ่งเผยแพร่พร้อมกันทั่วโลก โดยเริ่มเผยแพร่ที่แรกในงาน San Diego Comic Con 2018 ต้องบอกเลยว่าตัวอย่างที่สองนี้มีเนื้อหาและอะไรออกมาให้ปะติดปะต่อเป็นจำนวนมากจากตัวอย่างแรก ใครที่กลัวเสียอรรถรสขอแนะนำให้ปิดบทความนี้และรอรับชมวันที่ 15 พฤศจิกายน 2018 ในโรงภาพยนตร์เลยครับ

ก่อนไปแกะตัวอย่างกันแบบละเอียดยิบ ก็ต้องดูตัวอย่างกันก่อน และขอเตือนว่านี่คือแนวความคิดเห็นที่อิงข้อมูลจริงเท่าที่หาหลักฐานประกอบได้ ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นเป็นการคาดเดาของผู้เขียน อาจใช่หรือไม่ใช่ก็ได้นะครับ

ฉากเปิดมาด้วยฮอกวอตส์มุมสูงเช่นเคย แต่บรรยากาศที่เล่าเรื่องผ่านดนตรีเปลี่ยนโทนเป็นอึมครึมอย่างสัมผัสได้

ตามมาด้วยฉากดัมเบิลดอร์เดินไปยังประตูห้องแห่งหนึ่งในฮอกวอตส์ แต่บรรยากาศของทางเดินดูไม่ใช่ห้องเรียนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด แต่เป็นส่วนไหนสักส่วนของปราสาท กับคำพูดจากนิวท์ สคามันเดอร์ วัยเด็กว่า “ผมกลัวครับ ศาสตราจารย์ดัมเบิลดอร์”

แล้วภาพก็ตัดเข้ามาในห้องเรียนวิชาป้องกันตัวจากศาสตร์มืด ซึ่งดัมเบิลดอร์อย่างที่เรารู้กันว่าก่อนหน้าจะมาดำรงตำแหน่งอาจารย์ใหญ่ฮอกวอตส์ต่อจากดิพพิต เขาสอนวิชาแปลงร่าง แต่ภาคนี้ยืนยันทั้งจากทางจู๊ด ลอว์ นักแสดงผู้รับบทดัมเบิลดอร์ และตัวบรรยากาศและบทเรียนแล้วว่าสอนป้องกันตัวจากศาสตร์มืดอย่างแน่นอน

ในฉากนี้ดัมเบิลดอร์บอกว่า “ทุกคนต่างก็กลัวอะไรบางอย่าง” (แอบสื่อสารว่าตัวดัมเบิลดอร์เองก็มีความกลัวอยู่นะ)

ต้องยอมรับเลยว่างานออกแบบเครื่องแต่งกายของสัตว์มหัศจรรย์ซึ่งออกแบบโดย Colleen Atwood นั้นน่าใส่มากๆ เป็นชุดคลุมที่หรูหรามากจริงๆ และตราประจำบ้านก็เหมือนจะออกแบบใหม่ทั้งหมดด้วย เรียกว่าสลัดภาพฮอกวอตส์ในยุคของแฮร์รี่อย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังให้กลิ่นอายบรรยากาศของแฮร์รี่ได้อย่างอบอุ่น โดยเฉพาะการเรียนวิธีรับมือกับบ็อกการ์ตที่สอนได้เหมือนลูปินสอนแฮร์รี่ เราก็เลยฟินกันถ้วนหน้าสำหรับฉากนี้ แต่ในจุดนี้เองก็มีตัวละครน่าสนใจ เพราะก่อนหน้านี้มีการเปิดรับสมัครนักแสดงรับบทเด็กชายด้วย ซึ่งคิดว่าจะร่วมรับบทเป็นนักเรียนฮอกวอตส์ชั้นปีเดียวกับนิวท์ ชื่อ เซบาสเตียน กำลังคิดว่า พ่อหนุ่มเซบาสเตียนคนนี้จะเป็นผู้ชายบ้านกริฟฟินดอร์ที่ยืนซ้ายสุดในภาพ (แต่ก็ยังไม่ยืนยันนะครับ) ส่วนตัวผมคิดว่าเซบาสเตียนคือเหยื่อในเหตุการณ์ร้ายแรงที่ทำให้นิวท์โดนไล่ออก แต่จะเป็นฝีมือของนิวท์เองจริงๆ ไหม ก็ต้องรอดูการคลี่คลายในภาคนี้

และดูเหมือนจะเป็นไปได้ค่อนข้างมากว่า นักเรียนผิวสีที่ยืนถัดจากนิวท์ซึ่งมาจากบ้านสลิธีริน จะเป็น ลีตา เลสแตรงจ์ ด้วยความที่ผมหยักศกและท่าทีนิ่งๆ คล้ายคลึงกับลีตาตอนโต

เมื่อมาถึงคิวของนิวท์ร่ายคาถาริดดิคูลัส! เพื่อเปลี่ยนสิ่งน่ากลัวให้กลายเป็นเรื่องขบขัน ในตอนนี้ดัมเบิลดอร์พูดว่า “นิวท์ ตาเธอแล้ว” ดูเหมือนดัมเบิลดอร์จะใส่ใจกับนิวท์มากกว่านักเรียนคนอื่นอยู่เหมือนกันนะ จากการประกบตัวขนาดนี้ นึกถึงตอนลูปินประกบแฮร์รี่เลย

ดัมเบิลดอร์ “นั่นไม่ธรรมดานะ” นิวท์หันไปฟังแล้วยิ้มแบบเกร็งๆ มุมปากเล็กน้อย ต้องยอมรับเลยว่า Joshua Shea รับบทเป็นนิวท์ได้คล้ายเอ็ดดี้มากๆๆๆ

ดัมเบิลดอร์ “สิ่งที่คุณสคามันเดอร์กลัวมากกว่าอะไรก็คือ…”

นิวท์ “การต้องทำงานในออฟฟิศครับศาสตราจารย์” ยังคงรู้สึกไม่มั่นคง และเคอะเขิน ตื่นตระหนก พวกเพื่อนก็หัวเราะขำกับสิ่งที่นิวท์กลัว เด็กผู้หญิงผิวสีด้านหลังยังคงอยู่ในอาการนิ่งจนดูแปลกประหลาด ดูไร้ความรู้สึกอย่างน่าแปลกใจ เธอจะกลัวอะไรนะ?

ดัมเบิลดอร์ “ลงมือเลยนิวท์”

นิวท์ “ริดดิคูลัส!” แล้วคาถาก็พาไปยังโลโก้ทางการของ Warner Bros. และโลโก้หลัก Wizarding World

การนำเสนอโลโก้นี้อย่างแจ่มชัดทำให้รู้สึกเหมือนว่าจบจากแฟรนไชส์ Fantastic Beasts แล้ว คงมีอย่างอื่นในจักรวาลเวทมนตร์ของเจ.เค.โรว์ลิ่งออกมาอีกเพียบ (ถ้ากระแสดีไม่มีตกนะ)

แต่ก่อนจะไปฉากอื่น กลับไปที่เด็กผู้หญิงผิวสีหน้านิ่งคนนั้นอีกรอบ เพราะล่าสุดหลังจากมีภาพนักแสดงถ่ายรูปหมู่ออกมาจากทาง EW ก็เปิดเผยภาพไม้กายสิทธิ์ที่สาวโซอี้ผู้รับบท ลีตา เลสแตรงจ์ ถืออยู่ด้วย

เลยต้องเช็คตัวอย่างแล้วดูไม้กายสิทธิ์ของเด็กผู้หญิง และถ้าเอาแค่สีไม้กายสิทธิ์ ก็พอจะเป็นไปได้ว่าอันเดียวกัน แต่แหม สีนี้มันก็เหมือนๆ กันไปหมด แต่ปักใจเชื่อค่อนข้างมากละว่าคนเดียวกัน 555+

กลับไปต่อกันที่ตัวอย่าง หลังจบโลโก้แล้ว ภาพก็มาปรากฏที่รูปปั้นเคลื่อนไหวได้ บ่งบอกชัดเจนว่าอยู่ในเขตพื้นที่ของเวทมนตร์ ไม่ใช่ในถิ่นผู้ไร้เวทมนตร์แล้ว และทีน่า โกลด์สตีนก็โผล่เข้ามาเหมือนกำลังระวังอะไรอยู่ เหมือนทำหน้าที่เฝ้าระวัง

แล้วก็มีเสียงของกรินเดลวัลด์พูดว่า “เวทมนตร์นั้นเบ่งบาน…” ก่อนจะเปลี่ยนไปเป็นซีนก้าวเดินของสาวชาวเอเซียซึ่งเป็นมาเลดิกตัส ผู้ต้องคำสาปทางสายเลือดให้กลายร่างเป็นอสูรร้าย (รับบทโดย คลอเดีย คิม) เธอเดินมุ่งเข้าไปในกรงที่มีผู้คนมากมายมารอชมการแสดงในกระโจมของคณะละครสัตว์วิเศษ ที่เปิดตัวให้เราได้เห็นกันมาแล้วในตัวอย่างแรก

ในฉากนี้กรินเดลวัลด์พูดต่อว่า “…เฉพาะในจิตวิญญาณที่พิเศษเท่านั้น” ก็คือการสื่อสารว่า เวทมนตร์เป็นสิ่งเลอค่าสำหรับคนที่คู่ควรเท่านั้น ไม่ใช่กับพวกมักเกิ้ลด้อยค่า (ไม่ Rare ไม่พิเศษแบบพ่อมดแม่มด) น่าจะเป็นคำพูดที่อยู่ในฉากปราศรัยของกรินเดลวัลด์กับสมัครพรรคพวกที่มาชุมนุมรวมกันฉากนี้

แล้วซีนต่อมาก็พาเราออกมานอกกระโจมคณะละครสัตว์วิเศษ

ซึ่งเป็นฉากต่อเนื่องอยู่ในสถานที่เดียวกันกับทีน่าที่ยืนอยู่ตรงรูปปั้นที่เคลื่อนไหวได้ก่อนหน้านี้ สังเกตได้จากกำแพงและหน้าต่างอาคารโดยรอบของทั้งสองซีนเหมือนกัน และดูเหมือนว่าที่ฝรั่งเศสจะเปิดกว้างการมีอยู่ของเวทมนตร์มากทีเดียว ไม่ก็เปิดรับความมหัศจรรย์ใจได้มากกว่าในอเมริกา เพราะละครสัตว์วิเศษนี้ ย้ำว่า Wizarding Circus จากคำทางการจัดแสดงโชว์สัตว์วิเศษจากหลายที่ และเท่าที่ดูส่วนใหญ่จะมาจากทางเอเซีย

สังเกตจากซีนนี้ที่เห็นผืนผ้าชัดขึ้นกว่าตัวอย่างแรก ด้านซ้ายคือโชว์ Snake Girl ผู้หญิงชาวจีนในชุดสีน้ำเงินที่มีงูพันอยู่โดยรอบตั้งแต่ตัวเล็กๆ ไปจนใหญ่เบิ้ม เธอก็คือมาเลดิกตัสสาวชาวจีนอย่างแน่นอน!

และฉากต่อไป ก็เหมือนจะมายืนยันจุดเริ่มต้นของครีเดนซ์ที่มาพัวพันกับคณะละครสัตว์วิเศษ พร้อมกับคำพูดของกรินเดลวัลด์ที่พูดว่า “เรายังต้องซ่อนตัวในเงามืด”

จุดน่าสนใจของฉากนี้ก็คือโปสเตอร์โฆษณาการจัดแสดงละครสัตว์วิเศษ ที่ลงวันที่เป็นศุกร์ที่ 3 ธันวาคม

โปสเตอร์เต็มๆ ก็

เข้าใจว่านี่เป็นฉากที่ครีเดนซ์ยังอยู่ในนิวยอร์ก เพราะโปสเตอร์ตัวเต็มระบุว่ายังจัดแสดงอยู่ในนิวยอร์กในช่วงเดือนธันวาคม อยู่ไปจนถึงวันที่ 13 กันเลย ซึ่งเหตุการณ์ตอนที่ครีเดนซ์โดนมือปราบมารถล่มจนพลังแหลกสลายและชิ้นส่วนเดียวหนีหายออกไปเป็นช่วงเช้าของวันที่ 8 ธันวาคม 1926 สาเหตุที่คิดว่าครีเดนซ์ยังอยู่ที่นิวยอร์กในฉากนี้ เพราะโปสเตอร์ของคณะละครสัตว์วิเศษเคยโผล่ในภาคแรกมาก่อนนั่นเอง

ภาพจากภาคแรก สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่

ภาพยนตร์สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ จึงอาจเปิดฉากด้วยครีเดนซ์โฉมใหม่ ที่กำลังสนใจป้ายนี้และแอบติดสอยห้อยตามคณะละครสัตว์นี้ไปยังฝรั่งเศส

ตามมาด้วยฉากรถเมล์ในอังกฤษที่ดัมเบิลดอร์หายตัว และนิวท์วิ่งพรวดออกมาจากรถเมล์

ไปยังสถานที่ซักแห่งที่ดัมเบิลดอร์ใช้เครื่องมือสุดเจ๋ง ดีลูมิเนเตอร์ อุปกรณ์ดับไฟที่ปรากฏมาตั้งแต่แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ดับไฟตามสวน ซึ่งเป็นฉากเดียวกับตัวอย่างแรก และคงต่อเนื่องกันจากฉากลงจากรถเมล์ แต่อันไหนก่อนหลังนั้นไม่แน่ใจ ดูเหมือนจะรีบเร่งหายตัวตามกัน? เราสามารถหายตัวตามกันไปมาได้ขนาดนี้เลยหรอเนี่ย แม่นยำมาก

แล้วฉากก็ตัดมาที่คุกคุมขังของมาคูซา (สภาเวทมนตร์แห่งสหรัฐอเมริกา) เป็นฉากพาตัวกรินเดลวัลด์ซึ่งจับตัวได้ในภาคแรกไปคุมขังในสภาวะหมดสติ

แต่!!! มันอาจเป็นฉากที่ผู้ติดตามของกรินเดลวัลด์ปลอมตัวเป็นมือปราบมารเพื่อลอบเอาตัวกรินเดลวัลด์ที่โดนควบคุมไว้ด้วยคาถาที่ทำให้หมดสติออกไปจากคุกของมาคูซาก็ได้นะ เพราะอะไร? เพราะมันดูเร่งรีบเหลือเกิน! แบบว่า เร็วเข้า! เรามีเวลาจำกัด!

อีกอย่างตอนโดนจับตัวกรินเดลวัลด์ไม่ได้ผมยาวนะ นี่ผมยาวแล้ว แสดงว่าโดนกักมานานแล้ว นี่จึงต้องเป็นฉากช่วยเหลือกรินเดลวัลด์ออกจากคุกแน่นอน!

แล้วตัวอย่างก็พาเราไปฉากเดิมๆ จากตัวอย่างแรก ฉากที่นิวท์ซ่อมแซมโปสการ์ดจากปารีส

ซึ่งโปสการ์ดอันนี้มีภาพหลักฐานยืนยันว่ามาจากธีซีอุส พี่ชายของนิวท์ สคามันเดอร์ แต่ไม่น่าจะส่งมาให้นิวท์ผู้เป็นน้องชายหรอกนะ น่าจะส่งให้ลีตา เลสแตรงจ์ คู่หมั้นของเขามากกว่า ดูหลักฐานยืนยันได้จากภาพนี้ มุมลายเซ็นเขียนว่า Theseus

ต่อด้วยซีนเก่า ซีนชุมนุมผู้ติดตามของกรินเดลวัลด์ มีวินดา โรซิเออร์ อยู่เคียงข้าง ในมือถือหัวกะโหลกและอะไรสักอย่างที่น่าจะทำด้วยหวายรูปร่างคล้ายห่วง ปรากฏในทีเซอร์จากงาน SDCC2018

 

หัวกระโหลกซึ่งสลักเป็นข้อความภาษาเยอรมันว่า Für Das Größere Wohl  แปลว่า For The Greater Good หรือเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ คำขวัญยอดเยี่ยมที่กรินเดลวัลด์และดัมเบิลดอร์ร่วมสร้างขึ้นมา เป็นคำขวัญในอุดมการณ์วัยเด็กที่ทั้งสองตั้งใจจะเปลี่ยนแปลงโลกโดยให้พ่อมดแม่มดขึ้นมีอำนาจเหนือผู้ไร้เวทมนตร์ เพื่อจะได้ปกครองให้เป็นไปอย่างปกติสุข พ่อมดใช้อำนาจปกครองก็เพื่อประโยชน์ของมักเกิ้ลเอง เราจะได้เห็นแนวคิดนี้ผ่านการรวมสมัครพรรคพวกผู้ติดตามของเกลเลิร์ต กรินเดลวัลด์ คำปราศรัยหรือสุนทรพจน์ของกรินเดลวัลด์ที่พูดว่า “เวทมนตร์นั้นเบ่งบาน… เฉพาะในจิตวิญญาณที่พิเศษเท่านั้น” น่าจะเป็นหนึ่งในคำปราศรัยในฉากนี้ และต้องสร้างแรงหึกเหิมมากทีเดียว แต่หัวกระโหลกนี้จะทำงานและมีหน้าที่อย่างไรก็คงต้องรอดูกัน แต่คิดว่ามันคืออุปกรณ์ที่ใช้เรียกชุมนุม เหมือนที่โวลเดอมอร์ใช้ไม้กายสิทธิ์จี้ที่ตรามารเพื่อเรียกทัพผู้เสพความตายให้มาหา

พร้อมคำพูดของกรินเดลวัลด์ว่า “แต่หนทางคร่ำครึนั่นใช้ไม่ได้อีกต่อไป”

และฉากก็พาเราไปหามาเลดิกตัสสาวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าจ้องมองไปยังหอไอเฟลของฝรั่งเศส

นี่อาจเป็นฉากที่คณะละครสัตว์วิเศษเดินทางมาถึงฝรั่งเศสช่วงแรกๆ แต่ก็อาจจะเป็นแค่จุดที่มาเลดิกตัสสาวชอบขึ้นมาเป็นประจำหลังจากมาอยู่ฝรั่งเศสได้สักพักก็ได้เช่นกัน

แล้วฉากต่อมาก็คือ ควีนนี่ที่มีสีหน้าวิตกกังวลอย่างยิ่ง ยืนอยู่เพียงลำพัง กล้องหมุนไปรอบตัว สร้างบรรยากาศของความสับสนมืดแปดด้าน และต้องออกตามหาอะไรสักอย่างหรือสักคน

อีกหนึ่งสัตว์วิเศษที่อยากเห็นและได้เห็นในที่สุดก็คือ เลธิโฟลด์ หรือฉายาผืนผ้ามีชีวิต ที่พร้อมจะทำให้คุณขาดอากาศหายใจด้วยการใช้ร่างพลิ้วไหวของมันคลุมเหยื่อและทำให้ขาดอากาศก่อนจะกินเหยื่อเป็นอาหาร

ที่น่าตกใจก็คือมันมีขนาดใหญ่โตและเคลื่อนไหวได้อิสระกว่าที่คาดคิดมากๆ

แต่ดูซิ ทำไมเหมือนมีแค่นิวท์ที่ยกแขนขึ้นเหมือนจะตั้งการ์ดป้องกันทีน่า (ด้วยมีเปล่า) และทีน่าเท่านั้นที่เห็นเลธิโฟลด์ บรรยากาศตรงหน้าในฉากนี้ดูสงบอย่างประหลาด มันน่าจะแตกตื่นซิถ้ามีอะไรมหึมาโผล่มาแบบนั้น แต่ทุกคนที่ไม่เห็นตัว กลับเดินแบบสบายๆ ไม่แตกตื่น รถก็เคลื่อนที่ไปปกติมาก เฉพาะผู้วิเศษหรอที่จะเห็นตัวเลธิโฟลด์?

และแน่นอน กรินเดลวัลด์จะต้องออกตามหาครีเดนซ์แน่ๆ จากฉากนี้

คำพูดของดัมเบิลดอร์ก่อนหน้าจนมาถึงฉากนี้พูดว่า “เคยได้ยินที่ร่ำลือมาใช่ไหม?… ว่ากรินเดลวัลด์รู้เหตุล่วงหน้าได้” ในภาษาอังกฤษคือ “I take it you’ve heard the rumors?… Grindelwald had a vision” คำว่า Vision สามารถแปลได้ทั้ง วิสัยทัศน์ และนิมิต หรือการรู้เหตุล่วงหน้า โดยก่อนหน้านี้ เจ.เค.โรว์ลิ่งเคยเปิดเผยในทวิตเตอร์ส่วนตัวของเธอว่า กรินเดลวัลด์ทั้งการเป็นนักพยากรณ์ (Seer) และคนโกหก การที่ Vision ในส่วนนี้จะหมายถึงความสามารถในการเห็นนิมิตหรือรู้เหตุล่วงหน้า ก็คงไม่แปลก แต่อย่างไรก็ตามการแปลส่วนนี้ก็ต้องดูบริบทโดยรวมทั้งหมดจริงๆ ด้วย แต่ในความเห็นส่วนตัวของผม ผมขอปักใจไปทาง นิมิต มากกว่าวิสัยทัศน์ เพราะมันเชื่อมโยงกับคำว่า Rumour ที่แปลว่าข่าวลือ เรื่องร่ำลือ ได้มากกว่าวิสัยทัศน์ ซึ่งตรงกับฉากในตัวอย่างนี้ ดูเหมือนกรินเดลวัลด์จะมองเห็นภาพสะท้อนของครีเดนซ์ว่ายังมีชีวิตอยู่และกำลังทำอะไรอยู่ยังไงยังงั้น ต้องออกตามหาและจับตัวเขามาให้ได้แน่ๆ และแน่นอนยิ่งกว่าแช่แป้ง (ทำไมต้องแช่แป้งไปหาคำตอบเอาเองเนอะ 55+) แฟนๆ ต้องหวังว่าจะได้เห็นเพอร์ซิวาล เกรฟส์ กลับมาล่อลวงครีเดนซ์อีกใช่ไหมล่ะ?

“ภาพที่ฉันเห็นคือพลังมหาศาลของเด็ก” นี่คือประโยคจากภาคแรกที่กรินเดลวัลด์ในร่างของเกรฟส์อธิบายกับครีเดนซ์ถึงนิมิตที่เขาเห็น แต่ระบุตัวแน่ชัดไม่ได้ ในภาคนี้ดูเหมือนว่าเราจะได้เห็นเวทมนตร์ในทักษะนิมิตของกรินเดลวัลด์แน่ๆ แล้วล่ะ

นอกจากนี้ ท่าทีของกรินเดลวัลด์ในฉากนี้ เหมือนกำลังจะยกมือไปกระดิกนิ้วเรียกใครสักคนมา อาจจะเรียกวินดา โรซิเออร์ สมุนเอกผู้ติดตามใกล้ชิดเขา

แล้วชายพวกนี้กำลังขนอะไร? โลงศพหรอ? ขนไปทำไม ดูไม่ใช่พวกดีเอาซะเลย

แล้วดัมเบิลดอร์ก็พูดต่อว่า “เขาเห็นตัวเองขึ้นเป็นใหญ่เหนือโลกเวทมนตร์”

อ้า! มีตัวละครจากภาคแรกกลับมาอีกหนึ่งคนอย่างที่มีข้อมูลออกมาจริงๆ

อะเบอร์นาธี ชายที่ทำงานในมาคูซา หัวหน้างานของทีน่าและควีนนี่ เขากลับมาอีกครั้งในภาคนี้ และดูเหมือนว่าจะไม่ได้มาดีนะ ในความรู้สึก 55+ เพราะอะไร เพราะเคยเชื่อว่า อะเบอร์นาธี ซึ่งแสดงท่าทีหวั่งเกรงต่อเพอร์ซิวาล เกรฟส์อย่างมาก (ในตอนนั้นเพอร์ซิวาล เกรฟส์ ก็คือกรินเดลวัลด์ปลอมตัวมาแล้ว) จึงสันนิษฐานว่า อะเบอร์นาธี จะเป็นหนอนบ่อนไส้ของมาคูซา เป็นคนเปิดทางให้สมุนของกรินเดลวัลด์เข้ามาพาตัวนายของพวกเขาไป! และดีไม่ดี อะเบอร์นาธีอาจจะทำงานให้กรินเดลวัลด์มานานแล้ว ไม่ใช่พึ่งจะมาภักดี

ที่ที่อะเบอร์นาธียืนอยู่ ดูเหมือนจะเป็นที่เก็บอัฐิของฝรั่งนะ ถ้าใช่อย่างที่เข้าใจ กลุ่มคนที่ขนย้ายหีบหรือโลงศพนั่นก็กำลังขนย้ายสิ่งที่พวกเขาถูกสั่งให้มาตามหา คิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับหลุมศพของนิโคลัส แฟลมเมลและภรรยา แต่อาจไม่ใช่ก็ได้ สาเหตุที่คิดเชื่อมโยงเพราะถ้าอิงตามประวัติศาสตร์จริง นิโคลัส แฟลมเมลเสียชีวิตตั้งแต่ปี 1418 ในฝรั่งเศส แต่เรารู้ดีว่าเขาไม่ได้ตายในเรื่องราวของแฮร์รี่ พอตเตอร์ สองสามีภรรยาคงตัดสินใจทำเรื่องว่าตัวเองตายด้วยการทำหลุมศพปลอมขึ้นมา แล้วใช้ชีวิตอย่างสงบเงียบกันสองคน และกรินเดลวัลด์อาจเชื่อว่าตายจริงอย่างที่คนทั่วไปเชื่อ ยกเว้นดัมเบิลดอร์ที่เรารู้กันว่าเป็นเพื่อนกับนิโคลัส แฟลมเมลที่อายุมากกว่าโขทีเดียว

โลงศพสองโลงนั่นอาจเป็นโลงปลอมๆ ของนายและนางแฟลมเมล ที่กรินเดลวัลด์คิดว่าจะมีศิลาอาถรรพ์อยู่ในนั้นก็ได้นี่นะ

วินดา โรซิเออร์ เหมือนยืนเฝ้าระวังหรือรอคอยอะไรบางอย่าง แล้วมีชายอีกคนที่ดูท่าทีเป็นทุกข์ น่าจะเป็นอะเบอร์นาธี เขาทุกข์ใจเรื่องอะไรนะ เรื่องการตายของเพอร์ซิวาล เกรฟส์ที่เขามีส่วนรึเปล่านะ?

ครีเดนซ์ และมาเลดิกตัสสาวที่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้จักชื่อของเธอ เดินไปด้วยท่าทีกังวลและหวั่นๆ ไปในกลุ่มมักเกิ้ลหรือผู้ไร้เวทมนตร์ อาจจะกำลังเดินไปบนดาดฟ้าที่มองเห็นหอไอเฟลชัดๆ ก่อนหน้านี้

แล้วฉากก็พาไปเจอความน่าขนลุกขนพองของหญิงสูงวัยชุดสีฟ้ารับบทโดย Olwen Fouéré เดินมากับฝูงแมวสีดำน่ากลัว และมีดวงตาข่มขวัญ กับคมเขี้ยวที่พร้อมจะล่าเนื้อแบบสุดๆ ไม่ระบุแน่ชัดว่า Melusine เป็นชื่อของผู้หญิงคนนี้ หรือเป็นสัตว์วิเศษในตำนานของยุโรป เพราะ Melusine หมายถึงภูตน้ำที่อาศัยอยู่ตามน้ำพุหรือแม่น้ำ มีร่างเป็นมนุษย์แต่จะกลายร่างกลับเป็นสัตว์ครึ่งคนครึ่งงู หรือครึ่งปลาแบบนางเงือกได้เมื่ออยู่ในน้ำ (อ้างอิง Wikipedia) ก็คงต้องดูว่าเธอจะเป็นแค่คนน่ากลัวหรือเป็นสัตว์วิเศษร้ายกาจ

ถ้าอาคารแห่งนี้คือกระทรวงเพื่อราชการเวทมนตร์แห่งฝรั่งเศส (Ministry of Magic Affairs of France) จริง ก็ต้องยอมรับเลยว่า ฝรั่งเศสงามแค่เปลือก แต่ภายในนั้นดุร้ายและเต็มไปด้วยความอันตราย ที่ดูน่ากลัวยิ่งกว่าอเมริกาหลายเท่าตัวเลยทีเดียว นี่คือมาตรฐานและวิธีจับกุมตัวคนที่แอบลอบเข้ามาในกระทรวงเวทมนตร์โดยไม่ได้รับอนุญาตอย่างนั้นหรือ? นิวท์และทีน่าที่วิ่งหนีในอาคารนี้แย่แน่ๆ

มีข้อมูลเพิ่มเติมมาว่าเจ้าแมวพวกนี้เป็นสัตว์วิเศษจากอียิปต์

นิวท์ “คุณขอให้ผมช่วยตามล่าเขางั้นหรอ” น่าจะพูดกับดัมเบิลดอร์

นี่คือถุงมือนำทางสุดเจ๋ง ที่ช่วยพานิวท์ไปหาดัมเบิลดอร์บนดาดฟ้าอาคาร St Paul’s Cathedral ของลอนดอน มันเป็นของนิวท์แน่นอน เพราะเขาดึงมันแล้วหายตัวไปโผล่บนดาดฟ้าในทันที

เนี่ย ถือถุงมือไว้ในมือด้วย

แล้วจู่ๆ ตัวอย่างก็ดึงเราไปหาดราม่าโรแมนติกของดัมเบิลดอร์กับกรินเดลวัลด์ในทันที กับภาพของดัมเบิลดอร์จ้องมองตัวเองในกระจกเงาแห่งแอริเซดที่สะท้อนให้เห็นเงาร่างของกรินเดลวัลด์ เพื่อนรักที่เขาให้ใจมากกว่าคำว่าเพื่อน

แถมยังพูดด้วยประโยคแสนทรมานใจว่า “ฉันต่อต้านกรินเดลวัลด์ไม่ได้” โอ้โห!!!!!!

แฟนๆ คงทราบกันดีแล้วว่า กระจกเงาแห่งแอริเซดนั้นเป็นบานกระจกที่มีมาตั้งแต่แฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ ความพิเศษของมันคือไม่เพียงแต่จะสะท้อนเงาของเราเอง แต่ยังสะท้อนสิ่งที่เราปรารถนาล้ำลึกในจิตใจด้วย แล้วนี่ไง ดัมเบิลดอร์ของเราที่นอกจากจะเห็นครอบครัวของตัวเองพร้อมหน้า ยังเห็นเพื่อนรักที่เขาตัดไม่ขาดคนนี้อีกด้วย! มันหยั่งลึกในใจของเขาและเจ็บปวดทรมานนนน (เช็ดน้ำตาแป๊บ) ในบทความ กระจกเงาแห่งแอริเซด ของ Pottermore ระบุว่ามันเก็บรักษาอยู่ในห้องต้องประสงค์มานานเป็นศตวรรษ หรือก่อนที่ดัมเบิลดอร์จะนำออกมาจากห้องนั้นและใช้มันในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์ นั่นหมายความว่าในภาพยนตร์ภาคนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงปี 1927 มันยังตั้งอยู่ในห้องต้องประสงค์แห่งนั้น แต่คิดว่าภาพยนตร์น่าจะเอาไปไว้ในฉากเดียวกับที่แฮร์รี่จ้องมองเพื่อให้ได้กลิ่นอายของแฮร์รี่ เพราะสภาพเสาและบรรยากาศเหมือนกันเป๊ะทั้งเสาข้างตัวและเสาที่อยู่ในเงาสะท้อนของกระจก ซึ่งที่จริงแล้วห้องที่แฮร์รี่เจอกระจกไม่ได้อยู่ในห้องต้องประสงค์แต่เป็นห้องเรียนเก่าๆ (ถ้าอิงตามหนังสือเลยนะ)

ว่ากันตามจริง ฉากนี้อยากให้กรินเดลวัลด์มาแบบเต็มๆ ตัว ยืนเคียงข้างดัมเบิลดอร์ จับไหล่ ยิ้มให้ แบบที่ดูเหมือนจริงอย่างในแฮร์รี่ พอตเตอร์ กับศิลาอาถรรพ์มากกว่า ไม่ชอบแบบในตัวอย่างนี้เลย มันดูปลอมๆ

พอมาถึงจุดนี้มันดันเกิดความคิดว่า จริงๆ แล้วศิลาอาถรรพ์อาจถูกนำมาเก็บรักษาไว้นานแล้วตั้งแต่ตอนนี้ ไปจนถึงแฮร์รี่ พอตเตอร์มาเรียนที่ฮอกวอตส์เลยก็เป็นได้ แล้วฉากทั้งหมดในแฮร์รี่ภาคแรก ที่แฮกริดมาเอาห่อของจิ๋วๆ จากกริงกอตต์คือการเซ็ตฉากตบตาที่ดัมเบิลดอร์ต้องการแหกใครก็ตามที่วางแผนจะไปขโมยศิลาอาถรรพ์ตอนนั้น มารอดูแล้วกันว่าจะมีแนวโน้มมากแค่ไหนกับเรื่องนี้

“ต้องเป็นเธอ” โอ๊ย!! ดัมเบิลดอร์ผลักภาระสุด! ยังมีหน้ามาทำหน้าทำตาให้นิวท์คนดีศรีฮัฟเฟิลพัฟอ่อนไหวอีก บ้าเอ๊ย! ทุบโต๊ะรอบที่หนึ่ง!

“ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็คงปฏิเสธเหมือนกัน” มีการเล่นสำนวน In your shoes ทำนองว่า ถ้าอยู่ในสถานการณ์เดียวกับนิวท์ ฉันก็ปฏิเสธเหมือนกันแหละ แล้วทำไมไม่ให้นิวท์ปฏิเสธฟระ!! อ้อ! เดี๋ยวหนังจบไง 555+

ว่าแต่แผ่นๆ ที่นิวท์ถือคืออะไรน่ะ?

สัญลักษณ์สว่างๆ บนแผ่นเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของการเล่นแร่แปรธาตุ มันดูเหมือนสัญลักษณ์ของ Mars หรือเหล็ก (Iron) แต่ดันมีจุดตรงกลางวงกลมที่เหมือน Sun หรือทองคำ (Gold) หรือตั้งใจออกแบบเพื่อสื่อสารถึงความสามารถของศิลาอาถรรพ์ที่เปลี่ยนจากโลหะหนักให้กลายเป็นทองคำ? เป็นไปได้ และนิวท์คงทำภารกิจไปหานิโคลัส แฟลมเมลสำเร็จแล้วเลยเอามามอบให้ดัมเบิลดอร์ตามข้อตกลง โดยหารู้ไม่ว่า การเผลอตัวทำภารกิจให้หนึ่งอย่าง จะมีอย่างที่สอง สาม สี่ ห้า ตามมา T_T

พอเห็นว่าล่อลวงได้สำเร็จก็ยิ้มเยาะนิวท์ไปอี้ก!

ดัมเบิลดอร์ “สายแล้วซิ สายัณห์สวัสดิ์ นิวท์” โอ๊ย! ทุบโต๊ะรัว!!! ดัมเบิลดอร์ตอนแก่ว่ามีความกวน… ละนะ วัยนี้โคตรของความกวนอะ! แล้วดู ทิ้งภาระเสร็จหายตัวไปเลยจ้า!

ที่น่าแปลกคือ ตอนแรกคิดว่านี่คือฉากตอนกลางคืนไง แต่เปล่าจ้า ดัมเบิลดอร์บอกว่า Evening แสดงว่าเป็นยามเย็น แต่คงเป็นเวลาเย็นที่ลอนดอนปกคลุมไปด้วยหมอกและควันพิษ เรื่องหมอกและควันที่หนาทึบในอังกฤษดูจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในยุคสมัยนั้น ทำให้มองแทบไม่เห็นถนนหนทางอะไรเลย

ถ้านี่เป็นนิวท์คงทรุดลงกับพื้นแล้วร้องแหกปากเหมือนคนบ้า แต่นิวท์ดันบ่นแค่ “ไม่เอาน่า (Oh, Come on)” ด้วยเสียงแห้งๆ 555+

และฉากก็พาไปเจอฉากเก่าในงานเลี้ยงที่ลีตาปรากฏตัวออกมาแล้วมีผู้คนจ้องมองเธอ แต่เธอสนใจแค่คนเต้นรำตรงหน้า

ดูเหมือนลีตาจะเป็นคนแปลกในสายตาคนอื่นในวงกว้างทีเดียว

เอ๊ะเดี๋ยว! นั่นธีซีอุส สคามันเดอร์นี่!

อย่าบอกนะว่าฉากนี้ทั้งคู่ยังไม่ได้คบหาดูใจหรือหมั้นหมายกัน แต่เป็นวันแรกที่ทั้งคู่พบกัน… แล้วงานเลี้ยงนี้มันจัดที่ไหนล่ะเนี่ย มีคนมากหน้าหลายตา มีตั้งแต่หนุ่มสาวไปจนถึงแก่ งานเลี้ยงในบริษัทอะไรแบบนั้นรึเปล่า

นิฟเฟลอร์ สัตว์วิเศษผู้ชอบของวิบวับกลับมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ไม่ได้หนีออกจากกระเป๋า แต่นิวท์เรียกมันออกมาด้วยตัวเองเลย แล้วดูซิ มักเกิ้ลพวกนั้นไม่เห็นการเสกคาถาของนิวท์หรอ หรือมันไม่ได้ดูน่าแปลกใจชนิดที่ต้องหันมาดูหรอ ทุกคนดูใช้ชีวิตปกติไม่สนใจนิวท์และสัตว์ที่เด้งดึ๋งออกจากกระเป๋าเลย

แล้วเราก็เห็นนิวท์ขี่เคลปี้ใต้น้ำมาอีกครั้ง จากที่เคยเห็นมาแล้วในตัวอย่างแรก

แต่ที่เพิ่มมากกว่า ก็คือฉากขยายของส่วนนี้ ที่พาเราไปเห็นผู้หญิงผมแดงยืนรอรับนิวท์อยู่

เราได้ยินเสียงผู้ชายสูงวัยพูดว่า “คุณตีค่าตัวเองต่ำไป คุณสคามันเดอร์” เสียงของใครนะ?

ฉากนี้จึงยืนยันได้ชัดเจนว่านี่คือสถานที่ทำงานของ นิวท์ สคามันเดอร์ และเขามีผู้ช่วยหญิงคอยดูแลอยู่ที่นี่แทนเขา ถามว่าอะไรทำให้มั่นใจว่าผู้หญิงคนนี้คือผู้ช่วย เพราะก่อนหน้านี้มีการประกาศชื่อตัวละคร บันตี้ (Bunty) ซึ่งรับบทเป็น Assistant to Magizoologist Newton Scamander หรือ ผู้ช่วยของนักสัตว์วิเศษวิทยา นิวตัน สคามันเดอร์ รับบทโดย Victoria Yeates นักแสดงหญิงชาวอังกฤษ (อ้างอิงจาก DailyMail) และน้ำที่เพิ่มสูงขึ้นก็มีเจ้าเคลปี้อยู่ในนั้นนั่นเอง

ห้องทำงานนิวท์ดูใหญ่โตมากๆ ดูไม่ใช่อะไรที่คนจนจะทำได้รึเปล่า? เมื่อเปรียบเทียบความเป็นอยู่ของบ้านวีสลีย์แล้ว แตกต่างกันมากทีเดียว แม้พ่อมดแม่มดจะมีเวทมนตร์ในการเสกอะไรได้มากมาย แต่ดูเหมือนว่าการปลูกสร้างที่อยู่อาศัยเป็นข้อยกเว้นที่ไม่สามารถสร้างเวทมนตร์เนรมิตขึ้นมาได้ในทันที แต่ต้องใช้อุปกรณ์และเครื่องมืออื่นร่วมด้วย เหมือนที่พวกเขาเสกอาหารขึ้นมาไม่ได้ ทำได้แค่เรียกอาหารที่ปรุงไว้แล้วขึ้นมา เราเห็นควีนนี่และทีน่าใช้เวทมนตร์ช่วยกันทำกับข้าว นั่นแหละ เวทมนตร์ช่วยทำกับข้าวได้ แต่เสกกับข้าวขึ้นมาไม่ได้

แล้วซีนต่อมากรินเดลวัลด์ก็ปรากฏตัวอยู่บนถนนสายหนึ่งในฝรั่งเศส ก่อนจะมีเสียงพูดของกรินเดลวัลด์เองพูดขึ้นมาว่า “ความโอหังของพวกเขาคือกุญแจสู่ชัยชนะของเรา”

ตามมาด้วยฉากของใครสักคนเข้าไปในห้อง น่าจะห้องเดียวกับที่อะเบอร์นาธีเข้าไปก่อนหน้านี้

ซึ่งจากโครงร่างคนในฉากนี้ คิดว่าเป็น เจคอบ โควัลสกี้ โนแมจหรือมักเกิ้ลผู้ไร้เวทมนตร์ที่กลับมาจากภาคแรกอีกครั้ง (ทั้งที่ภาคแรกโดนลบความทรงจำไปแล้ว)

ฉากต่อมา น่าจะเป็นกลุ่มผู้ติดตามของกรินเดลวัลด์ ที่เดินทางมารวมกันตามคำเรียกขานของผู้เป็นนาย ซึ่งเป็นบรรยากาศที่ถ่ายทำในสุสาน Highgate Cemetery ของลอนดอน แต่สถานที่ตามเรื่องราวน่าจะอยู่ในฝรั่งเศสนะ

ไม่รู้ทำไม หรืออะไร ทำให้รู้สึกว่าชายคนหน้าสุดคือ ธีซีอุส สคามันเดอร์ ก็ไม่รู้ อาจจะแฝงตัวมารวมในกลุ่มผู้ติดตามอของกรินเดลวัลด์แบบเนียนๆ ก็ได้นะ เพราะถ้าอิงจากโปสการ์ดที่ธีซีอุสส่งให้ใครสักคนจากปารีส อาจจะหมายความว่าเขาไปทำงานของมือปราบมารอยู่ที่ฝรั่งเศส

แล้วก็ตามมาด้วยฉากเดิมจากตัวอย่างแรก ฉากบนดาดฟ้าที่มองไปเห็นหอไอเฟล ซึ่งครีเดนซ์กำลังโชว์สาวด้วยการปล่อยพลังออบสคูรัสในตัว ให้แม่สาวมาเลดิกตัสได้ชม เป็นช่วงเวลาแลกเปลี่ยนความรู้สึกที่เข้าอกเข้าใจกัน

แต่ก็มีเพิ่มมานิดนึงเหมือนกันนะ กับซีนพลังออบสคูรัสพุ่งกลับร่างภาชนะของมัน การกระทำนี้จะโดนกรินเดลวัลด์หรือคนของกรินเดลวัลด์พบเห็นไหมนะ?

แล้วฉากก็ตัดกลับมาที่เวทีปราศรัยของกรินเดลวัลด์

ผู้มาร่วมขุมนุมแยกย้ายกันไปจากที่ประชุมหลังเสร็จประชุม? คนที่ยืนอยู่ตรงกลางนี่คือใครนะ เป็นกลุ่มมือปราบมารของธีซีอุสที่ร่วมแฝงตัวเข้ามารึเปล่า?

นี่คือภาพยนตร์วายระดับฮอลลีวูด

น่าจะเป็นที่พอใจของกลุ่มคนเกย์ในอดีตที่ออกมาแสดงความไม่พอใจเมื่อเจ.เค.โรว์ลิ่งออกมาเปิดเผยว่าดัมเบิลดอร์เป็นเกย์ แล้วพวกเขาบางส่วนเคืองที่ไม่ยอมแสดงความเป็นเกย์ลงในนวนิยาย งานนี้คงพอใจกันได้แล้วเนอะ แต่ถ้าพวกคุณไม่พอใจ ผมคิดว่าแฟนคลับเรือใหญ่คู่นี้คงฟินอย่างมากถึงมากที่สุดแล้วเรียบร้อย

แล้วดัมเบิลดอร์ก็แสดงความเห็นต่างกับกรินเดลวัลด์ว่า “มักเกิ้ลไม่ได้ด้อยค่า”

ก่อนจะเปลี่ยนไปที่ฉากของเจคอบหันไปมองสัตว์วิเศษตัวใหม่ ซึ่งเคยปรากฏตัวมาแล้วในตัวอย่างแรก บางคนสันนิษฐานว่ามันคือเจ้านกออเกอรี่

แต่ส่วนตัวยังรู้สึกว่ามันไม่น่าจะใช่ เพราะมันดูไม่เหมือนแร้ง แล้วก็ดูตัวอ้วนแทนที่จะผอม

แล้วตัวอย่างก็พากลับไปที่อาคารซึ่งเต็มไปด้วยแผนผังดวงดาว อาคารเวทมนตร์อะไรสักอย่างของฝรั่งเศส

คราวนี้น่าจะเป็นจุดเริ่มต้นก่อนที่จะโดนไล่ล่าด้วยแมวดำน่ากลัวพวกนั้น ในฉากนี้เราเห็นผู้หญิงอยู่ในชุดคลุมยาวสวมหมวกเข้าสุดด้วยสีเหมือนเปลือกมังคุด ซึ่งก็ไม่ใช่ใครที่ไหน ลีตา เลสแตรงจ์ อดีตคนรักเก่าของนิวท์และปัจจุบันคือคู่หมั้นของพี่ชายนิวท์อีกที ชุดที่ลีตาใส่ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นชุดยูนิฟอร์มเหมือนกันนะ ลีตาทำงานอยู่ที่นี่หรอ? เป็นไปได้ไหมว่าควีนนี่ โกลด์สตีน ที่พินิจใจนิวท์ในภาคแรกจะมาตามหาเธอด้วยเหตุผลบางอย่างที่เธอคนเดียวที่รู้ ไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง?

มาโฟกัสที่แท่นๆ เคลื่อนไหวได้ตรงหน้าลีตาดีกว่าว่ามันคืออะไร ก่อนหน้านี้ EMPIRE เคยลงภาพของนิวท์และทีน่ากำลังเกาะอยู่กับชั้นอะไรสักอย่างที่มีเลขกำกับ และเมื่อเปรียบเทียบกับฉากนี้ มันคือฉากเดียวกันแน่นอน

แต่พวกเขามาหาอะไรจากที่นี่ และไม่ได้หาแค่สองคน ลีตา เลสแตรงจ์ ยังเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องอีกด้วย

ถ้าในสถานการณ์เลวร้ายนี้ ใครสักคนระหว่างทีน่า กับลีตา ตกลงไปด้านล่าง นิวท์จะช่วยใครนะ คนรักเก่า หรือคนใหม่ที่กำลังมีใจให้กันแน่นะ? ซีนนี้คือมาขยี้ล้วนๆ

เปลวไฟมังกรสีฟ้านี่มันอะไร?

มันกำลังจะเล่นงานเจคอบ ที่ไม่มีเวทมนตร์ปกป้องตัวเองแม้แต่น้อย!

และทีน่าเข้ามาปกป้องเจคอบที่ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืนด้วยสองเท้าของตัวเอง เจคอบที่น่าสงสาร T_T เปลวเพลิงที่เห็นนี้ต้องใช้แรงของพ่อมดแม่มดถึงสี่คนเพื่อทำลายมัน ให้ตาย!

ฉากนี้ยังมีเสียงพูดของดัมเบิลดอร์ที่ต่อจากประโยคก่อนหน้า “มักเกิ้ลไม่ได้ต่ำต้อย…” แล้วต่อด้วย “ไม่ได้ด้อยค่า” คือไม่ใช่สิ่งของหรืออะไรที่จะทำลายได้แบบดื้อๆ พวกเขามีค่าเท่าเรา มีค่าความเป็นมนุษย์เท่าเทียม ทำนองนั้นครับ

ทีนี้ มันก็เป็นไปได้อีกว่าประโยคนี้จะเป็นคำพูดของกรินเดลวัลด์ เพราะเสียงที่พูดไม่แน่ชัดว่าเสียงของใคร แต่มองว่าเป็นดัมเบิลดอร์ กระทั่งได้ฟังบทพูดสุนทรพจน์ของกรินเดลวัลด์ โดย จอห์นนี่ เดปป์ ในงาน ComicCon เต็มๆ ก็ชี้ชัดว่าเป็นกรินเดลวัลด์ที่พูดขึ้นมา ดังนี้ครับ

“พี่น้องทั้งหลาย ทั้งชายและหญิง ปวงมิตรสหาย เสียงปรบมือของท่านคือของขวัญอันยิ่งใหญ่ มิใช่สำหรับผม แต่สำหรับตัวท่านทุกคน เพราะฉะนั้น ขอท่านจงปรบมือให้ตัวเอง

มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่าผมเกลียดชังผู้ไร้เวทมนตร์ พวกมักเกิ้ล โนแมจ พวกที่เสกคาถาไม่ได้ … ผมไม่ได้เกลียดพวกเขา ผมเปล่าเลย ผมกล่าวไว้ว่ามักเกิ้ลไม่ได้ต่ำต้อย แต่เป็นอย่างอื่น ไม่ได้ด้อยค่า แต่ทว่ามีคุณค่าในแง่ที่ต่างออกไป

เวทมนตร์ผลิบาน เฉพาะในจิตวิญญาณที่หาได้ยากยิ่งเท่านั้น มันถูกประศาสน์ให้แด่ผู้ที่ดำรงอยู่เพื่อสิ่งที่สูงศักดิ์กว่า เรารังสรรค์โลกแบบใดให้ปวงมนุษยชาติได้บ้างเล่า? เพื่อมนุษยชาติทั้งมวล! เราทั้งหลาย ผู้ที่ดำรงอยู่เพื่ออิสรภาพ ผู้อยู่เพื่อความจริง บัดนี้ถึงเวลาแล้วที่จะผงาดขึ้นและฉวยเอาสิทธิอันชอบธรรมในโลกนี้ของเรา!”

– แปลโดย พี่แชมป์ Hogwartslover

“My brothers, my sisters, my friends. The great gift of your applause is not for me but for yourselves. Therefore applaud yourselves. [The audience did so.]

It has been said that I hate the non-magic, the Muggles, the No-Maj, the can’t spells. I do not hate them. I do not. I say the Muggles are not lesser, but other. Not worthless, but of other value.

Magic blooms only in rare souls. It is granted to those who live for higher things. What a world we would make for all of humanity. All of humanity. We, who live for freedom, for truth. The moment has come to rise up an take our rightful place in the world.”

ฉากถัดไปก็ทำเอาใจคอไม่ดี

ควีนนี่ โกลด์สตีน น้องสาวแท้ๆ ของทีน่า ปรากฏตัวในตัวอย่างทั้งสองอันด้วยการอยู่คนเดียว ไม่ได้อยู่กับนิวท์ เจคอบ หรือทีน่า ทำไมเธอถึงอยู่แยกคนเดียว แล้วสถานการณ์ในซีนนี้คือควีนนี่ดูแย่มาก และกำลังเป็นกังวลหรือเครียดกับสิ่งที่เธอรับรู้ได้จากการที่มีความสามารถในการพินิจใจของเธอ

เห้ย! เดี๋ยวนะ! คุณเห็นแหวนทองประดับเพชรที่นิ้วนางข้างซ้ายของควีนนี่ไหม? อย่าบอกนะว่า! เจคอบกับควีนนี่หมั้นหมายกันแล้ว เคราเมอร์ลิน! แล้วฉากนี้คือควีนนี่รับรู้ว่าเจคอบตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง? ไม่นะ!

แผนการของกรินเดลวัลด์เริ่มทำงานอย่างเต็มขั้นอีกครั้งซินะ เพราะฉากต่อไปคือการแตกตื่นของกลุ่มคน มีคนได้รับบาดเจ็บ

และแตกตื่นกับสัตว์วิเศษตัวนี้

มันคือตัว Oni ที่โชว์อยู่ในคณะละครสัตว์วิเศษรึเปล่า?

จากภาพนี้ ตัว Oni คือตัวด้านขวาที่มีเขี้ยวยาว 1 คู่ เขี้ยวสั้น 1 คู่ Oni เป็นยักษ์ของญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากในตัวอย่างเยอะเหมือนกันครับ จุดที่เหมือนกันมีแค่เขี้ยวเท่านั้น จึงคิดว่ายังไม่ใช่ตัวเดียวกัน เพราะ Oni มาจากญี่ปุ่น และลักษณะเท่าที่ค้นหาคือเป็นยักษ์ ลักษณะคล้ายโทรลล์ เดินด้วยสองเท้า แต่ในคลิปที่ออกมาเหมือนสิงโตและมีหางด้วย น่าจะเป็นตัว Taowu จากจีนมากกว่า

คลิปนี้ ในนาทีที่ 3:08 เอ็ดดี้และเจคอบเรียกมันคล้ายๆ คำว่า Zouwu เลยยิ่งค่อนข้างมั่นใจได้ว่าไม่ใช่ Oni แต่เป็นอีกตัวที่น่าจะหลุดจากคณะละครสัตว์วิเศษ

แล้วดูสิ่งที่นิวท์ใช้ล่อเจ้าสัตว์วิเศษตัวนั้นซิ ใบพัดของเล่น มันสนใจแค่แว๊บเดียว แล้วจากนั้นมันก็คำรามใส่

จุดน่าสนใจคือมันมีโซ่ล่ามที่คอของมัน ฉะนั้นเป็นไปได้มากว่ามันคือสัตว์วิเศษที่หลุดมาจากคณะละครสัตว์วิเศษ

ล่าสุดมีอัปเดตแล้วว่า สัตว์วิเศษตัวนี้มีชื่อว่า โจวอู หรือ ซูวู แล้วแต่การออกเสียงแบบฝรั่งหรือแบบจีน ถ้าตามจีนก็จะออกเสียงคล้ายๆ โจวอู หรือ โจววู

ส่วนหลุดมายังไงนั้น มีหลายแนวทาง สมมติว่ามันคือตัว Oni จริงๆ นะครับ

แนวทางแรก คือ ครีเดนซ์ทำให้มันหลุดออกมา เพราะในตัวอย่างแรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ มีฉากที่ครีเดนซ์ใช้โลหะแท่งทำลายกรงสัตว์วิเศษตัวเล็กจิ๋วที่บินได้ในกระโจม

ซึ่งน่าจะเป็นการบันดาลโทสะเพราะความโกรธแค้นบางอย่าง เช่น ไม่พอใจเจ้าของคณะละครสัตว์ที่ทำอะไรสักอย่างกับมาเลดิกตัสจนครีเดนซ์โกรธเอามากๆ หรืออาจทำลายโรงละครเพื่อเล่นงานคนที่พยายามจะมาจับกุมตัวเขา

แนวทางที่สองคือ กรินเดลวัลด์หรือสมุนของเขาตั้งใจก่อความวุ่นวายและทำให้มักเกิ้ลในฝรั่งเศสหวาดกลัวด้วยการทำให้สัตว์ในคณะละครสัตว์วิเศษหลุดออกมา

แนวทางที่สามคือ มันหลุดออกมาเองเพราะความหละหลวมบางอย่างของคณะละครสัตว์

กำลังผวากับสัตว์อยู่ดีๆ ก็ตัดซีนไปดราม่ากับนิวท์และลีตา

ลีตา “เธอดีเกินไป นิวท์… เธอไม่เคยเจอปีศาจที่เธอรักไม่ได้” ประโยคนี้ลีตาน่าจะพูดเพื่อหมายถึงตัวเธอเองที่นิวท์เคยรักด้วย แต่ในความเศร้าก็ชวนให้นึกถึงแฮกริดที่หลงรักสัตว์ประหลาดไม่แพ้นิวท์

ฉากต่อไปค่อนข้างทำลายความหวังของชาวเรือ เกรฟส์ ครีเดนซ์ เพราะคิดว่าคนที่มาหาครีเดนซ์ตอนดูตัวอย่างแรกจะเป็นเกรฟส์ แต่กลับเป็นพ่อมดแปลกหน้าคนนี้

เราเห็นวัตถุลอยไปมาได้ด้วยเวทมนตร์อย่างเอื่อยๆ แล้วเปลี่ยนอย่างรวดเร็วไปที่ครีเดนซ์กำลังยืนอยู่ในห้องหรูด้วยท่าทีหวั่นวิตกแต่ก็พร้อมรับมือ

น่าจะเป็นคนละห้องกับที่ชายปริศนาซึ่งน่าจะเป็นพ่อมดยืนอยู่ เพราะกำแพงตกแต่งต่างกันสิ้งเชิง มีเสียงเรียกชื่อ “ครีเดนซ์!” ที่น่าจะเป็นเสียงของนิวท์ แล้วตามมาด้วยฉากห้องที่โดนทำลายล้างที่น่าจะเป็นคนละสถานที่กันแล้วแน่ๆ เพราะวอลเปเปอร์ในห้องและของตกแต่งห้องต่างกันสิ้นเชิงเลย

ดูเหมือนครีเดนซ์จะคุมพลังออบสคูรัสของตัวเองได้ดีขึ้นมากทีเดียว ดูเหมือนจะสามารถควบคุมการทำลายล้างได้อย่างน่าประทับใจ การที่บ้านระเบิด แล้วกลับไปเป็นปกติก่อนจะระเบิดเป็นเสี่ยงๆ อีกครั้ง แล้วพ่อมดปริศนาก็หายตัวหลบจากพลังทำลายล้างนั้นได้แบบสบายๆ

ครีเดนซ์ที่ดูเหมือนจะโดนเล่นงานเพราะพลังออบสคูรัสในภาคแรก กลายมาเป็นเด็กหนุ่มที่ควบคุมพลังร้ายกาจนั้นได้อย่างน่าทึ่ง กรินเดลวัลด์อาจรับรู้ถึงนิมิตนี้ ไม่ก็แค่เห็นว่าเขายังมีชีวิตอยู่เลยส่งชายปริศนาคนนี้มาเอาตัวครีเดนซ์ไปหาเขา

แต่เดี๋ยวก่อน! กลับไปฉากครีเดนซ์และกรินเดลวัลด์เปรียบเทียบกันอีกรอบ!

วอลเปเปอร์ลายเดียวกัน มีชั้นหนังสือแบบเดียวกัน ซุ้มประตูแบบเดียวกัน ชัดเป๊ะ! เป็นไปได้อย่างรุนแรงว่าคนที่ครีเดนซ์กำลังจ้องมองอยู่คือกรินเดลวัลด์! เขาอาจโดนหลอกล่อหรือพาตัวมาจนถึงที่พักของกรินเดลวัลด์ ในฉากบ้านที่โดนทำลายแล้วมีพ่อมดยืนอยู่คงเป็นที่พักของครีเดนซ์เองมากกว่า คงต่อสู้จนโดนจับกุมได้ในที่สุด แล้วพอมาถึงในบ้านที่เต็มไปด้วยชั้นหนังสือก็เจอกับกรินเดลวัลด์ (เขาจะกลับมาในร่างของเกรฟส์ หรือเปิดตัวเป็นกรินเดลวัลด์เลยนะ?)

ฉากต่อไปคือฉากที่ร้องว้าวมากๆ กับการหนีออกจากมาคูซาของกรินเดลวัลด์ ที่หนีมาด้วยรถม้าเธสตรอล พร้อมกับถือไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ไม่ใช่ไม้ของเกรฟส์อย่างที่เราเห็นในภาคแรกด้วยนะเอ้อ!

แต่หนีมายังไงไม่รู้ กลุ่มคนที่มาพาเขาออกจากมาคูซาที่เราเห็นในตัวอย่างภาคแรกหายไปหมด

จนกรินเดลวัลด์ต้องคุมบังเหียนแล้วทะยานหนีออกมาด้วยตนเอง คิดว่าบรรดาลูกน้องของกรินเดลวัลด์คงโดนจัดการด้วยมือปราบมารของมาคูซาจนหมด เพราะในตัวอย่างแรกมีซีนที่กรินเดลวัลด์โดนไม้กายสิทธิ์จ่อในรถม้าด้วย

แค่เห็นฉากนี้ก็แอบหวังอย่างรุนแรงว่าประธานเซราฟิน่าของมาคูซาจะโชว์สกิลเวทมนตร์ขั้นเทพให้เห็นในฉากนี้จริงๆ ได้โปรดให้เราได้เห็นเธอโบกไม้กายสิทธิ์!

อย่าพึ่งไปฉากอื่น เพราะฉากคุมรถม้าเธสตรอล มีอะไรที่การรันภาพทีละช็อตทำให้เห็นว่ามีคนนั่งอยู่ในรถม้าที่กรินเดลวัลด์กำลังคุมอยู่

ผู้ชายนั่งอยู่ในรถม้าดูละม้ายคล้าย อะเบอร์นาธี ถ้าใช่เขาจริงๆ ก็โป๊ะเชะ! อะเบอร์นาธีเป็นคนช่วยพากรินเดลวัลด์ออกจากคุกมาคูซาแน่นอน แต่กรินเดลวัลด์ก็สุดยอดเลยนะ คุมบังเหียนรถม้าด้วยตัวเองแล้วให้ลูกน้องนั่งอยู่ในรถไม่ต้องมาโดนฝนเปียกเหมือนตัวเอง

ยังมีมือปราบมารที่จี้ตามกรินเดลวัลด์ไปติดๆ สองสามคน แต่สุดท้ายก็โดนกรินเดลวัลด์เล่นงานจนเกิดแสงวาบ แล้วก็มาเป็นฉากกรินเดลวัลด์ถือไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ ต้องย้ำอีกครั้งว่า ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์ตามไทม์ไลน์เป็นของกรินเดลวัลด์มาก่อน ในภาพยนตร์แฮร์รี่ พอตเตอร์ ที่ดัมเบิลดอร์ครอบครองไม้นี้เพราะกรินเดลวัลด์ยกให้หรือเอาชนะได้มา ซึ่งใน Fantastic Beasts ตลอดทั้งเรื่องราว ไม้กายสิทธิ์เอลเดอร์มีเจ้าของเป็นกรินเดลวัลด์ครับ!

“คุณสคามันเดอร์!” กรินเดลวัลด์เรียกนิวท์ ในฉากที่มีนิวท์ กับธีซีอุส และคนอื่นๆ ยืนอยู่ในสถานที่ซึ่งเคยมีสมุนของกรินเดลวัลด์ประชุมอยู่

“คิดหรอว่าดัมเบิลดอร์จะอาลัยอาวรณ์คุณ”

จากฉากนี้ทำให้แน่ใจว่าเหตุการณ์มันเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน คือ มีการเรียกชุมนุมพลผู้ภักดีต่อกรินเดลวัลด์ และทันทีที่สิ้นสุดการปราศรัยทุกคนแยกย้ายกันไป ธีซีอุสและนิวท์ รวมถึงทีน่าก็คงปรากฏตัวทันที สังเกตได้จากวินดาที่ยืนอยู่ด้านหลังยังคงถือหัวกะโหลกอยู่

ฉากที่ทำให้สภาวะอารมณ์ผสมไปหมดคือฉากหลังจบโลโก้ทางการของภาพยนตร์ คือการปรากฏตัวของนิโคลัส แฟลมเมล คืออึ้งไปหมด

เจคอบ “คุณเป็น…เป็นผีใช่ไหม?”

“ไม่! ฉันยังไม่ตาย” แล้วเดินเข้ามาหาเจคอบใกล้ๆ “ฉันเป็นนักเล่นแร่แปรธาตุ และนั่นทำให้ฉันเป็นอมตะ”

“โอ้!”

“นิโคลัส แฟลมเมล”

ตอนได้ยินชื่อคือผงะ เพราะคิดว่าเขาจะดูสุขภาพดีกว่านี้ แต่เปล่าเลย สังขารของแฟลมเมลดูเปราะบางอย่างมาก ยิ่งตอนที่จับมือกับเจคอบแล้วลั่นกร๊อบ! นั่นคือความเปราะบางที่ทำให้ไม่อยากมีชีวิตอมตะเลยล่ะ

“คุณดูไม่แก่เกินอายุ 375 เลยสักสักวันเดียว” เป็นมุกตลกร้ายของเจคอบที่ผิดจากความจริงที่เขารับรู้ไปมาก 55 มากจริงๆ

 

แล้วพบกันวันที่ 15 พฤศจิกายนกับภาพยนตร์สัตว์มหัศจรรย์: อาชญากรรมของกรินเดลวัลด์ ในโรงภาพยนตร์