Author: FabulousQual
คาถาพูนทวี* (DOUBLING CHARM) คาถาพูนทวี (หรือที่รู้จักกันมากกว่าในชื่อของ คำสาปเจมิโน) ค้นพบโดยแม่มดฝาแฝด: เฮลิซา และซีน่า ฮีสลอป (Helixa and Syna Hyslop) หลังจากการตายอย่างเงียบๆ และแปลกประหลาดสักหน่อยของทั้งคู่ ญาติๆ ที่เหลือก็พบว่าภายในแมนชั่นที่เคยเป็นที่พักอาศัยตลอดชีวิตของพวกเธอนั้นเต็มไปด้วยสิ่งของที่เหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว รวมไปถึงยังพบรายละเอียดของคาถาที่เขียนด้วยลายมือที่เหมือนกันสองแผ่นวางไว้คู่กันบนโต๊ะกินข้าวที่เข้าชุดกัน แล้วคาถาเพิ่มจำนวนก็เริ่มสร้างปัญหาทันทีที่มันถูกค้นพบ เกิดข้อโต้แย้งกันมากมายกับคำถามที่ว่าจะรู้ได้ยังไงว่าของที่เกิดขึ้นใหม่จากคำสาปเจมิโนจะมีคุณค่าเท่ากับคู่ของมันหรือไม่ ด้วยลักษณะที่เหมือนกันในทีแรกมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยว่าจะสามารถแยกแยะมันได้ แม้ว่าชิ้นที่ถูกเพิ่มขึ้นมานั้นจะเน่าหรือเสื่อมสลายไปได้เร็วกว่า โชคร้ายที่คาถานี้ยังมีเรื่องประหลาดอย่างหนึ่งที่ยังไม่เคยมีใครเอาชนะมันได้สำเร็จ นั่นคือ ไม่มีใครสามารถหยุดมันได้นอกจากผู้ที่เป็นคนเสกคาถา ซึ่งไม่ว่าด้วยเหตุผลอะไรก็ตามหากเขาหรือเธอถูกขัดขวาง ของที่เพิ่มจำนวนอยู่นั้นก็จะเพิ่มจำนวนไปเรื่อยๆ เป็นชั่วโมงหรือเป็นวันจนกว่าของที่งอกออกมาจะเสื่อมสลายหมดไปเอง …
บทที่ 3 ทักษะการใช้ไม้กายสิทธิ์ที่ยอดเยี่ยม ความสามารถในการร่ายคาถาอันเป็นเลิศหรือไหวพริบในการปรุงยาจะสำคัญอะไร ถ้าเธอไม่สามารถประยุกต์ใช้มันได้ คาถาในบทนี้จะทำให้เธอสามารถแก้ไขและกำจัดเรื่องยุ่งยากให้หมดไปรวมถึงเรื่องสำคัญที่สุด – สามารถใช้มันป้องกันตัวเองได้อีกด้วย จงศึกษาคาถาชุดนี้อย่างทะลุปรุโปร่งเสียก่อนจะพยายามใช้มัน (โปรดจำเอาไว้ว่าถึงจะศึกษาอย่างละเอียดแล้วแต่ก็ยังมีโอกาสเกิดผลลัพธ์ที่ไม่พึงประสงค์ได้เช่นกัน) คาถาเซาะร่อง (GOUGING SPELL) คาถาเซาะร่องจะทำให้พ่อมดแม่มดสามารถเซาะช่องผ่านแผ่นดินและหินได้อย่างดาย ตั้งแต่ใช้ขุดหาต้นอ่อนของสนาร์กาลัฟฟ์โดยนักสมุนไพรรุ่นแรกๆ ไปจนถึงใช้ทลายสุสานโบราณที่ผู้ล้างคำสาปยังไม่ค้นพบเพื่อล่าสมบัติ ซึ่งจากลักษณะการใช้งานดังกล่าวทำให้คาถาเซาะร่องเป็นคาถาประเภทที่ต้องใช้แรงงานอย่างหนักในการควบคุมไม้กายสิทธิ์ วิธีการร่าย ใช้คาถา “ดีโฟดีโอ (Defodio)” เพื่อเซาะผ่านแผ่นดินและก้อนหิน ท่าทางในการร่าย ตวัดไม้กายสิทธิ์ลงตรงๆ จากนั้นย้ายไปทางซ้ายแล้วตวัดลงอีกครั้ง (ดูภาพ Fig. I)
โรงเรียนเวทมนตร์ญี่ปุ่นอันเก่าแก่แห่งนี้มีนักเรียนที่ตัวเล็กที่สุดเมื่อเทียบกันทั้ง 11 โรงเรียน และรับนักเรียนตั้งแต่พวกเขาอายุเพียง 7 ปี (ถึงแม้ว่าจะยังไม่ต้องอยู่ที่โรงเรียนจนกว่าจะอายุ 11 ปีก็ตาม) โดยในแต่ละวันนักเรียนจะบินไปกลับบ้านโดยการนั่งบนหลังของฝูงนกโต้คลื่นยักษ์ (giant storm petrel) หลายส่วนของโรงเรียนได้รับการประดับตกแต่งอย่างวิจิตรงดงามและหรูหราไปด้วยสิ่งที่ทำขึ้นจากหยกเนื้ออ่อนสีขาวโปร่ง (mutton-fat jade) และตั้งอยู่บนจุดสูงสุดของเกาะภูเขาไฟมินามิ อิโว จิมะ (Minami Iwo Jima) อันรกร้างไร้ประโยชน์ (หรืออย่างน้อยมักเกิ้ลก็คิดแบบนั้น) นักเรียนของที่นี่จะได้รับเสื้อคลุมมนตราทันทีที่พวกเขามาถึง โดยชุดคลุมนี้จะใหญ่ขึ้นตามขนาดตัวเจ้าของที่สวมใส่มัน รวมถึงจะค่อยๆ เปลี่ยนสีตามความรู้ที่เพิ่มขึ้นของเจ้าของ แรกเริ่มนั้นจะเป็นสีชมพูจางก่อนจะค่อยๆ …
ถึงแม้ว่าในแอฟริกาจะมีจำนวนโรงเรียนเวทมนตร์น้อยที่สุด แต่ที่เดียวที่มีก็ได้ก่อตั้งมาอย่างยาวนาน (อย่างน้อยๆ ก็ราวหนึ่งพันปี) และมีชื่อเสียงประสบความสำเร็จอย่างน่าอิจฉาในระดับนานาชาตินั่นก็คือ แวกกาดู (Uagadou) โรงเรียนเวทมนตร์ที่ใหญ่ที่สุดที่สามารถรองรับนักเรียนจากทวีปอันยิ่งใหญ่ได้ทั้งทวีป โดยมีข้อมูลที่อยู่เพียงแค่ “เทือกเขาจันทรา (Mountains of the Moon)” ที่ซึ่งนักเดินทางได้กล่าวไว้ว่าเป็นสิ่งปลูกสร้างอันงดงามสลักเสลาจากภูเขาด้านหนึ่งและถูกปกคลุมไปด้วยหมอกทึบ นั่นทำให้บางครั้งมันก็ดูเหมือนกำลังลอยอยู่กลางอากาศ เวทมนตร์โดยมาก (บางตำราก็กล่าวว่าทั้งหมด) เป็นเวทมนตร์ท้องถิ่นของแอฟริกา และที่แวกกาดูนี้นักเรียนส่วนใหญ่จะมีความเชี่ยวชาญด้านดาราศาสตร์ การเล่นแร่แปรธาตุ และศาสตร์การแปลงร่างเป็นพิเศษ ไม้กายสิทธิ์นั้นเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่เกิดขึ้นในยุโรป ขณะที่ส่งต่อมายังพ่อมดแม่มดแอฟริกาในลักษณะของเครื่องใช้อันมีประโยชน์เมื่อศตวรรษก่อนนี้เอง ทำให้การร่ายคาถาส่วนใหญ่พวกเขามักจะใช้การชี้นิ้วหรือโบกมือเป็นท่าทางต่างๆ นั่นทำให้นักเรียนแวกกาดู สามารถใช้เป็นข้ออ้างได้เมื่อถูกกล่าวหาว่าแหกกฎบทบัญญัติว่าด้วยการปกปิดความลับพ่อมดแม่มดนานาชาติ (‘ผมแค่สะบัดมือไปมา ไม่ได้หมายความว่าผมต้องการร่ายคาถาใส่คางของเขาสักหน่อย’) …
เนื้อหาใหม่จาก เจ.เค.โรว์ลิ่ง เธสตรอลจะปรากฏให้เห็นในลักษณะของม้าโครงกระดูกสีดำทะมึนที่มีปีกเหมือนค้างคาว ผู้ที่ไม่เคยสัมผัสถึงความตายจะไม่สามารถมองเห็นมันได้ ในช่วงศตวรรษที่ผ่านมามันถูกกล่าวถึงในทำนองของความน่าเกลียดน่ากลัว และเป็นสัญลักษณ์ของความอับโชค นั่นจึงทำให้มันถูกล่าและทรมานอย่างทารุณโดยไม่ได้เข้าใจถึงธรรมชาติที่แท้จริงของพวกมัน (คือความสุภาพและอ่อนโยน) เธสตรอลนั้นจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ลางร้ายหรืออันตรายต่อมนุษย์เลย แม้พวกมันจะมีรูปร่างหน้าตาน่ากลัวก็ตาม ผู้สังเกตเห็นจะรู้สึกหวาดกลัวในครั้งแรกที่พบพวกมันเสมอ การพบเห็นเธสตรอลเป็นเครื่องแสดงให้รู้ว่าผู้ที่เห็นมันจะต้องเคยรู้เห็นความตาย หรือเข้าใจถึงความรู้สึกของความตายจริงๆ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่ต้องใช้เวลามากในการจะเข้าใจถึงพวกมันอย่างถ่องแท้ ด้วยความละเอียดอ่อนของการส่งต่อความเข้าใจ ซึ่งจะค่อยๆ ชัดเจนขึ้นจากรุ่นสู่รุ่น แฮร์รี่ พอตเตอร์เองก็ไม่ได้มีความสามารถในการมองเห็นเธสตรอลหลังจากที่แม่ของเขาถูกฆ่าตายไปต่อหน้าต่อตา เพราะความเป็นเด็กที่แทบจะไม่เข้าใจอะไรเลยว่าตัวเองได้เสียอะไรไป และมีการฆาตกรรมเกิดขึ้น เหตุผลเดียวเท่านั้นที่ทำให้เขาสามารถมองเห็นเธสตรอลที่ลากรถจากฮอกส์มี้ดไปยังปราสาทฮอกวอตส์คือการตายของเซดริก ดิกกอรี่ ผิดกับอีกคนคือลูน่า เลิฟกู๊ดที่สูญเสียแม่ไปตั้งแต่ยังเด็ก เธอสามารถมองเห็นเธสตรอลได้หลังจากนั้นไม่นานด้วยสัญชาตญาณ จิตวิญญาณ และความไม่หวาดกลัวชีวิตหลังความตาย …
เนื้อหาใหม่จาก เจ.เค.โรว์ลิ่ง มัลฟอย นั้นมีรากศัพท์มาจากภาษาฝรั่งเศสโบราณซึ่งหมายถึง ‘ความศรัทธาอันชั่วร้าย’ เช่นเดียวกับบรรพบุรุษจากครอบครัวชนชั้นสูงของอังกฤษอื่นมากมาย พ่อมดนาม อาร์มันด์ มัลฟอย (Armand Malfoy) ได้เดินทางมายังเกาะอังกฤษพร้อมกับพระเจ้าวิลเลี่ยมผู้พิชิต (William the Conqueror) และได้เป็นส่วนหนึ่งของการรุกรานกองทัพนอร์แมน มีการให้ความช่วยเหลืออย่างลับๆ ภายใต้ร่มเงา (และความช่วยเหลือทางเวทมนตร์อย่างแน่นอน) ของพระเจ้าวิลเลี่ยมที่หนึ่ง มัลฟอยได้รับพระราชทานที่ดินทำเลงามในวิลต์เชียร์ ซึ่งยึดเอามาจากชาวบ้านในละแวก ลูกหลานของอาร์มันด์ มัลฟอย สืบเชื้อสายมาสิบศตวรรษติดต่อกัน ความเจ้าเล่ห์ของอาร์มันด์ผู้เป็นบรรพบุรุษของตระกูล จึงเป็นเอกลักษณ์เฉพาะที่โอบอุ้มตระกูลมัลฟอยเอาไว้จนถึงปัจจุบันนี้ ตระกูลมัลฟอยเป็นตระกูลที่มีชื่อเสียงโด่งดังอยู่เสมอ ซึ่งชื่อเสียงเหล่านั้นอาจพูดไม่ได้เสียทีเดียวว่ามาจากนามสกุลที่น่ายกย่องของเขา …